เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี " ฮอกไก " ริมถนนซัปโปโร
การกินบะหมี่โซบะในวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่
และร้าน " ฮอกไก " นี้ก็เช่นกัน
ในวันนั้นคนแน่นร้านทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
ซึ่งโดยปกติแล้วถนนสายนี้คนจะแน่นไปจนถึงเช้าตรู่
แต่วันนี้ทุกคนต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว
ทำให้ร้านจึงปิดเร็วกว่าทุกวัน
เถ้าแก่ร้านเป็นคนใจดี ส่วนเถ้าแก่เนี้ยเป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชาย 2 คนมาด้วย
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบ อีกคนประมาณ 10 ขวบ
เด็กชายทั้งสองสวมชุดเสื้อกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค๊ทเก่า ๆ เชย ๆ
" เชิญนั่งครับ " เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากออกมาอย่างขลาดกลัว
" เอ่อ...ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ "
เด็กชายทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เชิญนั่งก่อนค่ะ "
เถ้าแก่เนี้ยพูดพลางพาพวกเขาไปนั่งโต๊ะ เบอร์2ติดชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกเถ้าแก่ที่อยู่ในห้องครัว " บะหมี่น้ำชามนึง "
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่ 1 ก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ลงไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย พลางพูดว่า
" ทานเถอะครับ " ลูกคนโตพูด
" แม่ทานสิครับ " ลูกคนเล็กพูดพลางคีบบะหมี่ให้แม่
ไม่นานบะหมี่ก็หมดชาม จ่ายเงินไป 150 เยน แล้วทั้ง สาม คนก็ชมว่า
" ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ (ครับ) "
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยก่อนเดินจากไป
" ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ) "
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างกล่าวคำขอบคุณ
ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นวันแล้ววันเล่าและแล้วก็ผ่านไปอีก 1 ปี
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาถึงอีกครั้งและวันนี้ที่ร้าน "ฮอกไก" ก็คึกคักเช่นเดิมและดูเหมือนจะขายดีขึ้นกว่าเดิม สองตายายก็วุ่นกับการค้าขายเหมือนเช่นที่ผ่านมา
และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 กว่า ๆ ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
คนที่เข้ามาคือหญิงวัยกลางคนและเด็กชายอีก 2 คน
พอเห็นโอเวอร์โค๊ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขี้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของวันนี้เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
" ขอบะหมี่ชามนึงได้ไหมคะ "
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ "
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว
พลางตะโกนว่า" บะหมี่นำหนึ่งชาม "
เถ้าแก่รับคำพลางจุดไฟที่เพิ่งดับไปพลาง " ได้ครับบะหมี่น้ำหนึ่งชาม "
เถ้าแก่เนี้ยแอบพูดข้างหูเถ้าแก่ว่า " นี่ตาแก่ต้มบะหมี่ให้เขาสามชามไม่ได้เหรอ"
" ไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาจะอายและไม่สบายใจรู้มั้ย " เถ้าแก่ตอบ
พลางเอาบะหมี่อีกครึ่งก้อนใส่ลงไปต้มอีก เถ้าแก่เนี้ยยิ้ม พลางพูดว่า
" เห็นทึ่ม ๆ แต่จิตใจดีเหมือนกันนะ " แลัวยกบะหมี่ชามใหญ่ไปให้สามคนแม่ลูกที่นั่งรออยู่ สามคนแม่ลูกล้อมกันกินบะหมี่พลางพูดไปพลาง
" หอมจังเลย.....ยอดไปเลย........อร่อยจังเลย........"
" ปีนี้ได้ทานบะหมี่ร้านฮอกไก ได้ถือว่าไม่เลวทีเดียว "
" ถ้าปีหน้าสามารถกินได้อีกก็ดีน่ะสิ " พอกินเสร็จก็จ่ายเงินไป 150 เยน
และค้อมตัวเล็กน้อยก่อนเดินออกจากร้ายฮอกไกไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังแม่ลูกจนลับตาไป
และแล้วก็ถึงปีที่สามของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ร้านฮอกไก
กิจการของร้านนี้ดีมาก สองตายายวุ่นทั้งวันจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลย 21.00 น. ไปแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา พอ 22.00 น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็กลับกันไป พอคนสุดท้ายออกจากร้านสองคนตายายก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ของที่ร้านที่เขียนว่า
" บะหมี่ขามละ200เยน" กลับเป็นอีกด้านที่เขียนว่า " บะหมี่ชามละ 150 เยน "
และเมื่อ 30 นาทีก่อนหน้านั้น เถ้าแก่เนี้ยได้เอาป้าย " จองแล้ว " ไปวางไว้ที่โต๊ะเอร์ 2 และเมื่อเวลา 22.30 น. สามแม่ลูกก็เข้ามาในร้านเหมือนเช่นเคย
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อหนาวที่ดูไม่พอดีตัวนัก และแม่ก็ยังใส่โอเวอร์โค๊ทเก่า ๆ เชย ๆ ตัวเดิม
" เชิญค่ะ เชิญค่ะ " เถ้าแก่เนี้ยทักทายยิ้มแย้ม
ทำให้ผู้เป็นแม่เปล่งคำพูดออกมาอย่าง งก ๆ เงิ่น ๆ ว่า
" รบกวนขอบะหมี่น้ำซัก 2 ชามได้ไหมคะ " " ได้ค่ะ เชิญนั่งค่ะ "
เถ้าแก่เนี้ยพอแม่ลูกไปนั่งที่โต๊ะเบอร์ 2 แล้วเอาป้าย " จองแล้ว " ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และตะโกนไปทางครัว " บะหมี่น้ำ 2 ชาม "
" ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้ครับ " เถ้าแก่รับคำพลางใส่บะหมี่ลงไปในหม้อต้ม 3 ก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูเหมือนมีความสุขมาก
สองตายายที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำบะหมี่ก็รับรู้ความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรักวันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกมาก" " ขอบคุณ? ทำไมครับ"
" เรื่องเป็นอย่างนี้ คือพ่อของลูกที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุนั้น ได้ทำให้คนอีก 8 คนได้รับบาดเจ็บด้วย ทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่เราต้องจ่ายเงิน 5 หมื่นเยนทุกเดือน แต่เดิมนั้นเราต้องใช้หนี้ไปถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราใช้หนี้ไปได้หมดแล้ว "
" จริงหรือครับแม่"
" จริงสิจ๊ะ นี่เพราะว่าพี่ชายของลูกขยันส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงให้เบี้ยขยัน โบนัส จึงทำให้เราสามารถชำระส่วนที่เหลือได้หมด"
"ว้าว....อย่างนี้ก็ดีสิครับ แม่ครับพี่ครับให้ผมทำอาหารเหมือนเดิมนะครับ"
" ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ น้องชายเราต้องสู้กันหน่อยแล้ว "
" ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
" แม่ครับผมกับน้องมีความลับจะบอกแม่เหมือนกันครับ คือเมื่อเดือนที่แล้วโรงเรียนของน้องแจ้งให้ผู้ปกครองไปพบวันผู้ปกครอง ครูของน้องได้บอกว่าเรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโดไปแข่งเรียงความทั่วประเทศ ผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ในวันนั้น เรียวความเขียนว่าในวันหนึ่งหลังจากที่คุณพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว ได้ทิ้งหนี้สินไว้ให้เรามากมาย เพื่อที่จะใช้หนี้คุณแม่ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องที่ผมส่งหนังสือพิมพ์น้องยังเอาไปเขียนเลย และน้องเขียนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ที่เราสามคนล้อมวงกินบะหมี่ชามเดียวที่อร่อยมาก คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณเราอีกแถมยังอวยพรปีใหม่เราด้วย เสียงเหล่านั้นเหมือนกับเป็นกำลังใจให้เรามีแรงยืนหยัดสู้ต่อไป พยายามปลดหนี้สินของพ่อให้หมดโดยเร็ว น้องยังเขียนอีกว่าต่อไปจะเปิดร้านบะหมี่ และจะให้กำลังใจกับคนที่มาที่ร้านทุกคนครับ "
สองตายายเจ้าของร้านที่ยืนฟังอยู่ จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะ พยายามซับน้ำตาที่ไหลออกมา
"ตอนน้องอ่านเรียงความผมอายมาก แต่เห็นน้องยืดอกพูดอย่างภูมิใจทำให้ผมนึกถึงความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่เพื่อเรา สามคน ผมไม่มีวันลืมเด็ดขาด ผมและน้องต้องดูแลแม่เป็นอย่างดี"
สามแม่ลูกกุมมือกันอย่างมีความสุข บะหมี่ปีนี้อร่อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา และพวกเขามีความสุขที่สุดเท่าที่ผ่านมา
และจ่ายเงิน 300 เยน ค้อมตัวเล็กน้อยและเดินจากไป
" ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" สองตายายมองหน้ากันปีใหม่ปีนี้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง 21.00น. สองตายายก็เอาป้าย " จองแล้ว"ไปวางไว้ที่โต๊ะเบอร์ 2 เช่นเคย แต่ปีนี้จนปิดร้านก็ไม่มีแม้เงา สามแม่ลูกนั้นเลย
ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังว่างเช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้าน ฮอกไก อีกเลย กิจการของร้าน ฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว จนร้ายมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ ยกเว้นโต๊ะเบอร์ 2 ที่คงไว้เช่นเดิม
" นี่มันอะไรกัน " ลูกค้าหลายคนถามด้วยความข้องใจ
สองตายายเลยเล่าถึงบะหมี่หนึ่งชามให้ลูกค้าฟัง พร้อมทั้งบอกว่าจะเก็บที่นั่งตรงนี้ไว้ให้สามแม่ลูก เผื่อเขากลับมา
โต๊ะเบอร์ 2 นั้นลูกค้าที่ได้ฟังเรื่องราวก็ให้ชื่อว่าโต๊ะความสุข
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคมไปหลายต่อหลายปี
เจ้าของร้านค้าระแวกนั้นก็ปิดร้านและรวมตัวฉลองกันที่ร้านฮอกไก
กินไปพลางรอฟังเสียงระฆังปีใหม่ไปพลาง เฮฮาประมาณ 40-50 คน และโต๊ะจองเบอร์ 2 ก็ยังคงว่างเช่นเคย เวลาผ่านไปจนถึงเวลา 23.30 น.
ประตูร้านถูกผลักออกเบา ๆ ทุกคนในร้านมองไปที่ชายหนุ่มสองคนสวมสูทท่าทางสุภาพ เถ้าแก่เนี้ยออกมาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
" ขอโทษค่ะร้านเต็มหมดแล้วค่ะ " เพื่อปฎิเสธแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมกิโมโนแทรกกลางเข้ามาระหว่างชายทั้งสองคน
" เอ้อ.....รบกวนขอบะหมี่ สามชามได้ไหมคะ "
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
เถ้าแก่ตะลึงมอง " พวกคุณ.....พวกคุณ ........." เถ้าแก่พูดได้แค่นั้น
"พวกเราสามคนที่เมื่อ 14 ปีก่อนมาสั่งบะหมี่หนึ่งชามไงครับ พวกเราได้รับกำลังใจจากบะหมี่ชามนั้น พวกเราจึงยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ เราย้ายไปอยู่อำเภอ ชิวะ กับคุณยาย ปีนี้ผมเป็นแพทย์แล้ว และย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลกลางซัปโปโรครับ
และนี่น้องชายผมที่ฝันอยากเปิดร้านบะหมี่ตอนนี้ทำงานธนาคารเกียวโต ครับ เราได้คุยกันว่าปีนี้จะมาคารวะเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยที่ร้าน ฮอกไก และทานบะหมี่น้ำของที่ร้านด้วย "
สองตายายฟังน้ำตาคลอเบ้า ปาดน้ำตายิ้มแล้วพูดว่า
" ได้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ(ครับ) บะหมี่น้ำสามชาม "