บทที่ 6 ...ทีมที่ปรึกษาและบริหารธุรกิจ...
ชายหนุ่มรู้จักตัวของเขาเองดีว่า เขามีความคิดที่ดี
เขามองเห็นโอกาสต่างๆ มากมาย
แต่การที่จะลงมือปั้นความคิดของเขาให้เป็นจริงขึ้นมานั้น
เขาต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
เพื่อทำให้งานสำเร็จได้สมดังปรารถนา
แน่นอน หากเขาไม่มีเงื่อนไขของเวลา
ในการสร้างตัวเองให้รวยที่สุดในเมือง ภายใน 1 ปี
เขาย่อมมีเวลาเรียนรู้งานและพัฒนามันขึ้นมาได้
เขายังเข้าใจดีอีกว่า การทำการค้า เราต้องทำเองให้มาก
พึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจให้น้อยที่สุด แต่สถานการของเขาตอนนี้ ทำอย่างนั้นไม่ได้
เพราะการค้าแต่ละอย่าง กินเวลาจนกว่าจะประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยเลย
แต่หากเขามีทีมงานที่ดี มีประสบการณ์ งานของเขาก็จะประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
และสามารถทำการค้าได้หลายอย่างมากขึ้น
กรอปกับกิจการของเขา สามารถมีเงินเหลือมาพัฒนาเรื่องนี้ได้
ชายหนุ่มจึงให้เวลากับการคัดเลือกคนเข้ามาช่วยงาน
เพื่อจะตั้งเป็นทีมบริหารงาน โดยทีมนี้จะรับการถ่ายทอดความคิดจากเขาโดยตรง
จากนั้นก็จะไปช่วยกันวางแผนงานและบริหารจัดการให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
ตัวของเขาเองก็จะมีเวลามองหาโอกาสใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป....
ทีมบริหารงานของชายหนุ่มก็เป็นรูปเป็นร่างพร้อมที่จะลุยงานแล้ว
หลังจากให้แนวคิดและนโยบายงานเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็ปล่อยให้ทีมที่ปรึกษาบริหารจัดการงานต่อได้เลย
ทั้ง 3 ธุรกิจของเขาคือ
1.โรงงานผลิตน้ำอ้อยสด ให้เพิ่มการผลิตน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ พร้อมพัฒนาบรรจุภรรณ์
2.ร้านสรรพสินค้าที่เมืองคูขาด เพิ่มสินค้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ
3.กิจการรับซื้อสินค้าทางการเกษตร พัฒนาทั้งการซื้อการขาย ให้ครบวงจร
หลังจากเบาใจในเรื่องการบริหารจัดการแล้ว ชายหนุ่มก็มีโอกาสได้ใช้สมองในการคิดหาโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มมองเห็นโอกาสใหม่ อีกโอกาส
"รถบรรทุกหนึ่งคัน ขนผักและผลไม้ได้ 20 ตัน
เพื่อนำไปส่งอีกเมืองหนึ่ง
บวกกำไรกิโลละ 50 สตางค์ ถึง 1 บาท
เที่ยวหนึ่งก็ทำเงินได้อย่างน้อย 15,000 บาท
ขากลับก็ขนสินค้าอื่นๆ จากเมืองนั้น กลับมาที่เมืองนี้ ได้กำไร 20,000 บาท
รวมเป็นเงิน 35,000 บาทต่อเมืองต่อเที่ยวต่อวัน
อืมมมมม... ไม่เลวเลยทีเดียว"
ชายหนุ่มคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เขาวิ่งรถขนสินค้าระหว่างเมือง
นอกจากขนสินค้าของตนเองแล้ว ยังมีพ่อค้าคนอื่นฝากสินค้าของเขาติดรถมาด้วย
โดยให้เขาคิดค่าบริการตามสมควร สิ่งที่เขามองเห็นคือ
ในที่สุด การขนสินค้าระหว่างเมืองของเขา
หากบริหารจัดการดีๆ จะมีคนจ่ายค่าจ้างคนขับและค่าน้ำมันแทนเขาได้เลย
เขาจึงให้ทีมบริหารงานของเขาวางแผนขยายไปยังเมืองอื่นๆ เพิ่มขึ้น
เพื่อให้ครอบคลุมทุกเมืองด้วยเงินที่มาจากตัวของมันเอง
ชายหนุ่มได้วางเป้าหมายให้ทีมบริหารงานของเขาทำคือ
ให้มีโกดังพักสินค้าทุกเมือง มีรถขนส่งสินค้าให้เพียงพอ
เพื่อใช้ขนถ่ายสินค้าของเขาเอง และให้บริการรับฝากสินค้ากับผู้อื่นด้วย
ถึงแม้จะใช้เวลาหลายปี แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีอนาคตแน่นอน
เพราะอย่างไร ก็ต้องขนส่งสินค้าของตัวเองอยู่แล้ว
ข้างฝ่ายโรงงานน้ำอ้อยของเขาเองก็ใช่ย่อย
หลังจากที่เขาดำเนินการอยู่ไม่นานนัก
ป้าเจ้าของโรงงานก็ขายโรงงานต่อเขาเพราะแกอยากพักแล้ว
จากน้ำอ้อยเพียงอย่างเดียว ก็พัฒนาน้ำสารพัด
เนื่องจากเขามีผักและผลไม้อยู่ในมือเองด้วย
บวกกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงงาน
ที่มองเห็นถึงกระแสของการดูแลสุขภาพของผู้คน
ระยะเวลาไม่กี่ปี ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผักและผลไม้บรรจุกล่องของเขา
จะต้องวางจำหน่ายทุกเมืองที่สายการส่งสินค้าของเขาไปถึง อย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจก็คือ ...รองเท้า...
ชายหนุ่มได้เจอกับนักออกแบผลิตภัณฑ์คนหนึ่ง
เป็นคนที่มีความสามารถในการออกแบบสินค้าได้ดีมาก
เขายังจำได้ดี ช่วงที่เขาทำตลาดรองเท้าใหม่ๆ เขาลองให้คนนี้ออกแบบรองเท้าให้
"มันจะไปได้เร้อ... ที่เอ็งจะผลิตรองเท้ายี่ห้อของตัวเอง
คู่แข่งในตลาดก็เยอะแยะไปหมดไม่รู้ยี่ห้ออะไรต่อยี่ห้ออะไร
แถมเขายังยึดครองตลาดมานานอีกแล้วด้วย"
คำพูดของเพื่อนๆ ที่หลับตานึกถึงว่า
จะผลิตรองเท้ายี่ห้อใหม่ออกสู่ตลาด แค่คิดก็เหนื่อยแล้วเพื่อนๆ เขาคิดเช่นนั้น
ชายหนุ่มแอบมั่นใจในอนาคตของรองเท้ายี่ห้อเขาอยู่ลึกๆ
ด้วยรูปแบบที่ทันสมัย หลากหลายสไตน์มากมายออกสู่ตลาดเป็นระยะๆ
ด้วยฝีมือการวางแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ของทีมบริหารงาน
แค่ขยับตัวไม่นานนัก ยี่ห้อใหม่ของเขาก็ติดตลาดอย่างรวดเร็ว
และขึ้นมาเป็นผู้นำในท้องตลาดในที่สุด
ลุง ป้า น้า อา ลูกเด็ก เล็กแดง ต่างรู้จักกันทั้งนั้น
คุณเองก็อาจกำลังสวมใส่รองเท้าของเขาอยู่ก็ได้....
เพราะรองเท้าของเขาก็กระจายไปทุกมุมเมืองที่สายการส่งสินค้าของเขาเข้าไปถึง...
เมื่อยี่ห้อของเขาติดตลาดเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเป็นอย่างดี
เขาก็เริ่มแตกไลน์สินค้าไปสู่อย่างอื่น
เช่น... กางเกงยีนส์ เสื้อ เข็มขัด ฯ อีกที
แรกๆ ชายหนุ่มก็กังวลใจกับเงินที่จะนำมาลงทุน
เพราะกระแสเงินสดจากธุรกิจของเขาไม่เพียงพอแน่ๆ
ทีมที่ปรึกษาจึงบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
เพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพเรื่องเขียนแผนธุรกิจอยู่แล้ว
จะนำไปเสนอขอกู้เงินที่ธนาคารอีกที
"นำเงินของคนอื่น มาต่อเงินให้เรา
มันจะทำให้เราก้าวกระโดดไปได้เร็วขึ้น
หากรอเก็บเงินตัวเองเพื่อลงทุน มันไม่ทันการหรอก
เพราะเวลาของเธอจะหมดเสียก่อน
แต่เธอจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอาเองว่า
จะค่อยๆเติบโต หรือจะเติบโตแบบก้าวกระโดด
เพราะเธอเป็นคนเห็นองค์รวมของธุรกิจในมือของเธอเอง
ความเห็นของคนอื่น แค่นำมาเป็นส่วนประกอบเพื่อประมวลผลเท่านั้น
อย่าได้เชื่อความคิดเห็นของใครทั้งหมด..."
ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของท่านเศรษฐีอยู่ในใจ
วันนี้ เขาได้รู้วิธีนำเงินของคนอื่นมาต่อเงินให้เขาแล้ว...
ธนาคารต่างๆ เริ่มปล่อยสินเชื่อให้ จากเครดิตของกิจการต่างๆ ที่เขามี
เพราะมันเป็นการกู้เงินเพื่อขยายกิจการ ซึ่งธนาคารจะปล่อยกู้ง่ายกว่า การสร้างกิจการใหม่
จากนั้นจึงหมุนเงินออกไปสร้างกิจการใหม่ และนำกิจการใหม่นั้นเข้าไปกู้เงินอีก
##### ##### ##### ##### ##### #####
เหลือเวลาอีก 6 เดือน...
ชายหนุ่มก็ยังสร้างฐานะขึ้นมาได้ไม่เท่าไร
ทุกธุรกิจของเขา ยังไปไม่ถึงอนาคตที่เขาวางไว้
เขายังห่างไกลจากเศรษฐีไม้เท้าทองคำหลายขุมนัก
อยู่มาวันหนึ่ง มีคนมาบอกขายบ้านให้กับชายหนุ่ม
เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เนื้อที่ 50 ตรว.
เนื่องจากเจ้าของบ้าน ต้องย้ายไปอยู่เมืองอื่น
จึงไม่อยากเสียเวลาในการรอประกาศขาย
เจ้าของบ้านพอใจในราคา 3 แสนบาท
สภาพบ้านยังดีอยู่ ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมากนัก
นอกจากทาสีใหม่เท่านั้น
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คนเช่า
ธนาคารเรียกเงินดาวน์ 12,000 บาท
และผ่อนเดือนละ 1,820 บาท
ปรากฎว่าเขาสามารถให้เช่าได้ในราคาเดือนละ 2,000 บาท
"ดีจัง... ซื้อบ้านหนึ่งหลังราคา 3 แสน ด้วยเงินเพียง 12,000 บาท
และยังได้เงินเฉยๆอีกเดือนละ 180 บาท"
ชายหนุ่มพูดกับเศรษฐี หลายๆ คนจะมองการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ราคาเต็มของมัน
แต่ชายหนุ่มกลับมองที่ราคาของกระแสเงินสดที่จะต้องใช้
"ฉันยังมองว่าไม่ดีเลย" เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"ROI ของเธอได้แค่ 18% เอง"
ชายหนุ่มรู้สึกงง
อะไรคือ ROI
"ROI คืออะไรครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น
"Return On Invested capital หรือ Return On Investment
มันก็คือ เปอร์เซ็นต์ของผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง"
เศรษฐีตอบ
"แล้วมีวิธีคำนวณอย่างไรเหรอครับ" ชายหนุ่มสงสัย
"เอากำไรที่ได้ หารด้วยเงินที่ลงทุนไป คูณด้วยหนึ่งร้อย
เธอก็จะได้ตัวเลขออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์"
เศรษฐีหยุดเล็กน้อย
"หากตัวเลขออกมาเป็น 0 ก็หมายความว่า ไม่มีกำไร และไม่ขาดทุน
หากตัวเลขออกมาน้อยกว่า 0 ก็หมายความว่า ขาดทุน
และหากตัวเลขออกมามากกว่า 0 ก็หมายความว่า มีกำไร
ยิ่งตัวเลขออกมายิ่งเป็นบวกมากๆ ยิ่งแสดงว่า
ความคุ้มค่าในการลงทุนอันนั้น คุ้มค่ามากๆ"
เศรษฐีหยุดรอชายหนุ่มเพื่อให้ตามให้ทัน
"อย่างกรณีของเธอ...
ใช้เงินลงทุน 12,000 บาท
ให้คนเช่าเดือนละ 2,000 บาท
แต่เธอต้องส่งงวดธนาคารเดือนละ 1,820 บาท
จึงมีกำไรเหลือเดือนละ 180 บาท
ในหนึ่งปี เธอจะมีกำไร 180x12 = 2,160
กำไร หาร เงินลงทุน คูณ 100
(2,160/12,000)*100 = 18%
การคำนวณต่อปี
ก็เพื่อให้เปรียบเทียบกับการฝากเงินกินดอกเบี้ยกับธนาคาร"
"นี่คือ ROI ของกระแสเงินสด
แต่ความจริงเธอยังได้กำไรเป็นสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการผ่อนงวดธนาคาร เพียงแต่
มันไม่ได้เป็นเงินสดตอบแทนกลับมาในทันที
ข้อสังเกตุอีกอย่าง
เธอจะไม่เห็นฉันพูดถึงราคาจริงๆ ของบ้านที่เธอซื้อมาเลย
เวลาคำนวณหาความคุ้มค่าของเงินลงทุน
แต่ราคาจริงของมัน ก็สำคัญ...สำหรับการเกร็งกำไร"
เศรษฐีอธิบายต่อไปเรื่อยๆ
"ส่วนตัวของฉันนั้น...
จะเลือกลงทุนที่ ROI มากกว่า 50% ขึ้นไป
เพราะมันมีการลงทุนดีๆ อีกเยอะแยะให้เราเลือก
โดยเฉพาะ ROI ที่ 100%-300% มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ค่อยๆ เรียนรู้ไป แล้วเธอก็จะมองเห็นอย่างที่ฉันเห็น"
"เธอกำลังพัฒนาการตัวเองจากผู้ประกอบการ มาเป็นนักลงทุนแล้วนะนี่..."
เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"นายครับ...
ไฟไหม้ร้านที่คูขาดครับ..."
เสียงที่ปรึกษาคนหนึ่ง โทรมารายงานชายหนุ่ม
"เฮ้ย!!..." ชายหนุ่มร้องเสียงหลง
"แล้วเสียหายมากหรือเปล่า" ชายหนุ่มถามกลับไป
"ตอนนี้ รถดับเพลิงกำลังทำงานอยู่ครับ
แต่คาดการว่า คงจะเอาไม่อยู่แน่ๆ เลย"
เสียงตอบมาตามสาย
"เดี๋ยวผมจะเดินทางไปที่คูขาดตอนนี้เลย... แค่นี้นะ"
ชายหนุ่มตัดบท พร้อมกับเสียงท่านเศรษฐีเรียกให้คนขับรถของท่านเอารถออก
"เดี๋ยวให้เด็กมันพาเธอไปก็แล้วกันนะ"
เศรษฐีกล่าวกับเขา
"ขอบพระคุณมากครับ"
ชายหนุ่มกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
หลังจากเขาเปิดร้านขายรองเท้าที่เมืองคูขาดได้ 2 เดือน
ยอดขายรองเท้าเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุก็มาจาก กระแสค่านิยมทางวัตถุ เริ่มเข้าไปยังเมืองนั้น
จากการที่เขาได้หาหนทางให้ชาวเมืองจำนวนหนึ่ง ได้มีโอกาสใส่รองเท้า...
ซึ่งบังเอิญไปสร้างความแตกต่างระหว่างคนที่ใส่รองเท้าและคนที่ไม่ใส่รองเท้าเข้าอย่างจัง...
ทำให้ชาวเมืองคูขาด หันมานิยมใส่รองเท้ากันเป็นการใหญ่
ชายหนุ่มมองเห็นโอกาสอีกโอกาสหนึ่งที่แฝงมากับชาวเมืองที่มาซื้อรองเท้า
นั่นก็คือ สินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ซึ่งปกติ เมืองอื่นๆ ทั่วๆไป
ก็ขายกันเป็นเทน้ำเทท่าอยู่แล้ว
เพียงแต่ที่เมืองคูขาดนี้ ค่านิยมของชาวเมืองแตกต่างจากเมืองอื่นๆ
แต่... ณ เวลานี้ เมื่อรองเท้านำร่องไปแล้ว ค่านิยมทางวัตถุเริ่มเกิดขึ้น
สินค้าตัวอื่นๆ น่าจะมีโอกาสสร้างตลาดที่นั่นได้ไม่แพ้รองเท้าเลยทีเดียว
เพราะเมื่อคนมาซื้อรองเท้า ก็ย่อมต้องเห็นสินค้าตัวอื่นๆ
เขาไม่ต้องเสียเงินในการจะสร้างกิจกรรมเพื่อให้คนมาดูสินค้าตัวใหม่อีก
นี่คือโอกาส....
หลังจากเปิดร้านรองเท้าได้ 2 เดือน
เขาจึงได้ขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นหลายเท่า
และส่งสินค้าต่างๆ มากมายไปจัดแสดงเพื่อขายที่นั่น
2 เดือนผ่านไป สินค้าอื่นๆ ขายได้อย่างที่เขาคิด
ถึงแม้จะยังไม่มากมายอะไร แต่ก็ไม่ทำให้ขาดทุน
เขายังเชื่อว่า อนาคตต้องสดใสอย่างแน่นอน
แต่!!!.....
วันนี้ ไฟกำลังเผาไหม้ร้านสรรพสินค้าของเขา
ในขณะที่เขามีเวลาเหลืออีกแค่ 6 เดือน..ในการสร้างตัว
เสียงล้อรถบดถนนดังเล็ดลอดเข้ามาภายในรถ
เสียงแรงประทะของลมกับตัวรถ ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน
รถกำลังแล่นด้วยความเร็วเต็มพิกัด
คนขับรถนั่งขับด้วยใจจดใจจ่อ สายตาเพ่งไปที่ถนนแทบไม่กระพริบ...
ชายหนุ่มนั่งเครียดอยู่ด้านหลังของรถเก๋งคันงาม
เขาถอนหายใจและกระสับกระส่ายเกือบตลอดเวลา
ร้านสรรพสินค้าแห่งนี้ เพิ่งเริ่มจะให้กระแสเงินสดกับเขา
หลังจากติดลบอยู่ 3 เดือน อนาคตก็กำลังจะสดใส
แล้วสวรรค์เล่นตลกอะไรกลับเขานี่
ธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานน้ำผักและผลไม้
ไม่ว่าจะ คูขาดพืชผล หรือ รถรับขนส่งสินค้าของเขา
ล้วนแล้วแต่ยังไม่มั่นคงทั้งสิ้น
เงินได้มาส่วนใหญ่ก็หมดลงไปกับการวางระบบ
ที่ปรึกษาของเขาบอกว่า ระบบ เป็นเรื่องสำคัญมาก
ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
เพราะธุรกิจของเขา เป็นระบบสากลไปแล้ว
เพราะเถ้าแก่ไม่ได้บริหารจัดการเอง
ระบบ จะเข้ามาช่วยลดการรั่วไหลได้ ถึงแม้จะไม่หมดก็ตาม
หัวใจของชายหนุ่มยิ่งเต้นแรงมากขึ้น
มือไม้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทันทีที่รถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองคูขาด
สายตาของเขาก็กระทบกับกลุ่มควันและเปลวไฟอยู่บนท้องฟ้า
ในใจของเขา อยากให้รถไปถึงที่นั่นเร็วๆ
รู้สึกว่าเวลามันจะวิ่งช้าเสียเหลือเกิน
รถยังไม่ทันจะหยุดสนิทดี ชายหนุ่มก็พุ่งพรวดออกไปจากรถด้วยความรีบร้อน
เบื้อหน้าของเขา....
ไฟกำลังโหมไหม้อย่างไม่มีวี่แววว่าจะสงบ
พนักงานดับเพลิง ก็กำลังทำงานอยู่อย่างขมักเขม้น
ผู้คนมากมายที่ยืนล้อมมุงดูอย่างหนาตา
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรก่อน
เขามีความรู้สึกว่าตัวเขาเอง เงอะๆ ง๊ะๆ ไปหมด
"สติ..." ชายหนุ่มคิด พร้อมกับรำลึกไปถึงพระอาจารย์เสกสรร
ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ของเขา สมัยที่เขาได้มีโอกาสไปบวชเป็นพระ
"จงมีสติ อยู่กับตัว ทุกลมหายใจเข้าออก
คนมีสติ ย่อมสามารถแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ
ได้ดีกว่าคนไม่มีสติ คนไม่มีสติ ก็โน่นไง
เดินยิ้ม เดินร้องไห้ เดินกราบไหว้เสาไฟฟ้าอยู่โน่นไง
ทุกสัดส่วนของร่างกายเขา ก็ไม่ต่างไปจากคนทั่วไปเลย
แต่สิ่งที่เขาไม่มีเหมือนคนทั่วไปคือ สติ...
หากไม่มีสติ... ก็ไม่ต่างจากคนบ้าเหล่านั้น
แล้วจะเอาปัญญาที่ไหน ไปแก้ปัญหา..."
ชายหนุ่มยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว จิตใจระลึกไปถึงพระอาจารย์
หลายๆ คนที่เห็น อาจจะคิดว่า เขาขอให้เทวดาฟ้าดินช่วยเหลือ
หรือขอบารมีครูบาอาจารย์ให้ช่วย
แต่เปล่าเลย....
พระอาจารย์เสกสรร สอนไว้ว่า...
"ถ้าเข้าถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ จริงๆ แล้ว
คนผู้นั้นจะไม่งมงายอีกต่อไป
เพราะเมื่อก่อน มนุษย์ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว
เวลาเกิดปัญหาที่แก้ไม่ได้
ก็เอาต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง เป็นที่พึ่ง
บางคนก็ถือเอา รุกขเทวดา เจ้าที่ ผีสาง นางไม้ เป็นที่พึ่ง
สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทางเลย สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
เมื่อเข้าถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ ก็จะเข้าใจเรื่องกรรม
การกราบไหว้ พุทธ ธรรม สงฆ์
จึงไม่ได้กราบไหว้เพื่ออ้อนวอน
จึงไม่ใช่การกราบไหว้เพื่อร้องขอ
แต่กราบไหว้เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน
ที่ช่วยทำให้เราเกิดปัญญา...."
หลังจากเขาเรียกสติกลับคืนมาแล้ว
เขาตรงดิ่งเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
"สวัสดีครับ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นสวัสดี
เมื่อก่อน เวลาที่เขาจะยกมือไหว้ใคร
เขาจะประเมิณคนๆ นั้นก่อนว่า อ่อนกว่า หรือแก่กว่าเขา
การพนมมือสวัสสดีของเขา ขึ้นอยู่กับอายุ
หากคนที่อายุมากกว่าเขา เขาจะเป็นฝ่ายไหว้ก่อน
หากคนที่อายุน้อยกว่าเขา เขาจะเป็นฝ่ายรอรับไหว้
เขาเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ เมื่อวันที่เขาทำความเข้าใจเสียใหม่
เกี่ยวกับการพนมมือสวัสสดี
เมื่อก่อนเขาผูกติดการพนมมือสวัสสดีกับคำว่า ไหว้
การพนมมือสวัสสดีของเขา จึงขึ้นอยู่กับวัยวุฒิ
แต่วันนี้....
การสวัสสดีด้วยการยกมือพนม คืออากัปกิริยา ของการทักทายกันของคนไทย...
ดังนั้น เขาจึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะยกมือพนมพร้อมกับ
กล่าวคำว่า สวัสสดี กับใครๆ ก็ตาม
"การสวัสสดีแบบไทยๆ อย่าให้คนต่างชาติ ต้องมาสอนพวกเราเลย"
ชายหนุ่มคิดในใจและนึกถึงภาพที่ยังติดตาอยู่...
เป็นภาพของนางงามจักรวาลสวัสสดีพร้อมกับบิดามารดาของเธอ
"ผมเป็นเจ้าของที่นี่ครับ" ชายหนุ่มกล่าวต่อ
"พอดีเลยครับ... สารวัตร กำลังถามหาอยู่พอดีเลย"
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งตอบเขา
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิม เดินนำหน้าชายหนุ่มเพื่อไปหาสารวัตร
หลังจากทักทายกันพอสมควรแล้ว สารวัตรบอกกับชายหนุ่มว่า
"เดี๋ยวเพลิงสงบแล้ว ผมขอเชิญที่โรงพักด้วยนะครับ"
สารวัตรหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า
"ตอนนี้เราตั้งไว้สองประเด็นคือ
ถูกลอบวางเพลิง กับ วางเพลิงเพื่อเอาประกัน"
"วางเพลิงเพื่อเอาประกัน..."
ชายหนุ่มร้องเสียงหลง