Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - JOJI32

Pages: [1] 2
1
Thailand / สติฟ จ๊อบ
« on: January 25, 2016, 03:07:49 PM »
คำพูดสุดท้ายจากสตีฟ จ๊อบ
.
ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจ หรืออาจกล่าวว่าชีวิตผมเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความสำเร็จ
.
แต่นอกจากการทำงานแล้ว ผมไม่ได้มีความสุขนัก เพราะในที่สุด ความร่ำรวยก็กลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี
.
ในขณะนี้ ผมกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงและพยายามรำลึกถึงชีวิตของผมที่ผ่านมา ผมพบว่าความร่ำรวยที่ผมเคยภูมิใจ กลับไม่มีค่าอะไรเลยในช่วงสุดท้ายที่ผมกำลังจะตาย
.
ในความมืด ผมมองเห็นเพียงแสงสีเขียวและเสียงของเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว
.
ตอนนี้ผมเพิ่งตระหนักว่า เมื่อเราร่ำรวยพอแล้ว เราควรหันไปใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ บ้าง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งอื่นๆที่สำคัญ เช่น งานศิลป ที่เราเคยใฝ่ฝันในตอนเด็กๆ
.
การไม่ยอมหยุดสร้างความร่ำรวย จะทำให้ต้องมีชีวิตเหมือนที่ผมเป็น
.
พระเจ้าได้มอบความรักไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน ซึ่งไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน
เมื่อผมตาย ผมเอาความร่ำรวยไปด้วยไม่ได้ สิ่งที่ผมจะนำติดตัวไปคือความทรงจำเกี่ยวกับความรักเท่านั้น ซึ่งเป็นความร่ำรวยที่แท้จริงและจะเป็นแสงนำทางให้กับเราต่อไป
ความรักจะติดตามเราไปได้ทุกที่ เพราะมันอยู่ในหัวใจและในมือของเราเอง
.
เตียงที่แพงที่สุดในโลกก็คือเตียงผู้ป่วย
คุณสามารถจ้างคนมาขับรถให้ มาทำงานหาเงินให้ แต่ไม่มีใครมาป่วยแทนคุณได้
สิ่งของใดๆ ที่หายไป เราอาจหาพบได้ แต่เราเอาชีวิตที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัด เราจะตระหนักได้ว่า เราใส่ใจสุขภาพของตัวเองน้อยเกินไป
แต่เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไปเสมอ
.
จงให้ความรักกับครอบครัว กับคนรัก และเพื่อนๆ หมั่นดูแลสุขภาพของตัวเองและใส่ใจคนรอบข้างให้มากๆ
สิ่งที่พิสูจน์แล้ว เงิน เวลา สุขภาพ
สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด
เวลา และเงิน คือสิ่งสำคัญรองลงมา

#จาก นิตยสารแพรว

2
Thailand / นกอินทรี
« on: October 01, 2015, 02:32:47 PM »
นกอินทรีเลี้ยงลูกแบบไหน?
..........................................................
พ่อแม่นกอินทรี พอจะวางไข่ พ่อแม่นกก็ช่วยกันทำรัง มันไปเอาแผ่นหินแผ่นใหญ่พอประมาณบางๆ มาวางบนต้นไม้ใหญ่และสูง เป็นชั้นแรก

เอากิ่งไม้ใหญ่มาวางทับบนแผ่นหินเป็นชั้นที่ 2
เอาหนามแหลม มาวางทับกิ่งไม้ใหญ่ เป็นชั้นที่ 3
เอาใบไม้มาวางทับหนามแหลม เป็นชั้นที่ 4
สุดท้ายมันสลัดขนของมันวางทับเป็นขั้นตอนสุดท้าย และมันก็วางไข่ไว้

ในลังอันอ่อนนุ่มของขนแม่มัน เมื่อไข่ได้ฟักออกเป็นตัวเล็กๆ มันก็หาอาหารให้ลูกกินจนอิ่ม เมื่อเวลาผ่านไป มันดูว่าลูกพอจะแข็งแรง มันก็จะเอาขนนกชั้นบนสุดออกจนหมด ทำให้ลูกนกรู้สึกตัวเองว่ามันเจอใบไม้แล้ว แข็งจัง ไม่นุ่มเหมือนขนนกที่เคยอยู่

หลายวันต่อมา แม่มันก็ค่อยๆ รื้อใบไม้ออกอีก ก็เจอหนามแหลม ทำให้ลูกนกรู้สึกตัวเองว่าหนามแหลมคมทิ่มแทงตัวตลอดเวลา ทุกครั้งที่พลิกตัว ก็ต้องค่อยๆ

หลายวันต่อมา แม่มันก็ค่อยๆ รื้อหนามแหลมออกจนหมด ทำให้ลูกนกรู้สึกตัวเองว่า ยืนบนกิ่งไม้ ต้องยืนทรงตัวดีๆ ไม่อย่างนั้นก็จะตกลงพื้นดินได้

และหลายวันต่อมา เมื่อแม่นกได้ฝึกความอดทนทุกอย่างให้ลูกนกได้สัมผัสแล้ว แม่นกก็รื้อแผ่นหินทิ้ง ก็เหลือแต่กิ่งไม้ ซึ่งไม่สามารถอยู่เป็นรังพักได้อีกแล้ว แม่นกก็จับลูกบินไปในอากาศที่สูงมากๆ แล้วปล่อยลูกนกลงมาลอยละลิ่ว เพราะลูกนกยังกางปีกบินไม่เป็น ก็ตกลงมา ซึ่งแม่นกก็คอยดูลูกอยู่ พอลูกเกือบตกถึงพื้น แม่นกก็บินมาโฉบลูกขึ้นไปข้างบนอีก และปล่อยลงมาอีก ทำอย่างนี้เรื่อยๆ หลายๆ ครั้ง จนลูกนกเริ่มกางปีกลอย และสามารถบินอยู่ในอากาศได้

ต่อจากนั้น แม่นกจะฝึกพาลูกออกหากินทุกวัน จนลูกรู้จักหากินได้ พ่อแม่นกก็จะบินหนีลูกนกไปไกลแสนไกล โดยไม่กลับมาหาลูกนกอีกเลย เพราะมันถือว่าได้ทำหน้าที่ให้ลูกดีที่สุดแล้ว ลูกสามารถที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้แล้วนั่นเอง เพราะแม่ได้ฝึกทดสอบความอดทน เลี้ยงให้ลูกรู้ความเปลี่ยนแปลงในการอยู่แต่ละขั้นตอนหมดแล้ว และลูกก็ได้สอบผ่านทุกขั้นตอนแล้ว

...เห็นไหมว่า พ่อแม่นกอินทรี สอนลูกให้แข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง กล้าหาญได้ดีมาก เพราะฉะนั้นเราควรสอนลูกให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้ สอนให้ช่วยตัวเอง เข้มแข็ง อดทน รู้จักกินของที่มี เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกได้ตลอดไปนั่นเอง ทุกคนต้องตาย เป็นเรื่องปกติ อย่าสอนลูกให้เป็นนกกระจาบก็แล้วกัน เพราะนกกระจาบสร้างรังอยู่อย่างสวยงาม อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับรังตลอดไป จะเห็นว่าเป็นครอบครัวใหญ่ไปเลย ร้องหากันเสียงดัง ไปไหนก็ไปกันเป็นขบวน เวลาตื่นตกใจอะไร ก็วิ่งกันแตกรังอย่างไม่เป็นท่าเป็นทางเลย แสดงให้เห็นว่าจิตใจอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เข้มแข็ง ไม่อดทน ไม่ต่อสู้ อยู่ตัวเดียวไม่ได้...

3
Thailand / ลุงแจวเรือ
« on: June 29, 2015, 05:51:43 AM »
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวสงขลา เรียนเก่งมาก ได้ทุนไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เด็กจนจบด็อกเตอร์ จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน
บ้านของเด็กหนุ่ม อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบสงขลา ต้องนั่งเรือแจวข้ามไป ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง
“เรือที่ติดเครื่องยนต์ไม่มีเหรอ ลุง? ”
“ไม่มีหรอกหลาน ที่นี่มันบ้านนอก มันห่างไกลความเจริญมีแต่เรือแจว”
“โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง โบราณมาก ที่อเมริกาเขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก ไปส่งผมฝั่งโน้น เอาเท่าไหร่ลุง?”
“80 บาท”
“OK…ไปเลยลุง”
ในขณะที่ลุงแจวเรือ หนุ่มนักเรียนนอกก็เล่าเรื่องความทันสมัย ความก้าวหน้า ความศิวิไลช์ ของอเมริกาให้ลุงฟัง
“เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง? ทำไมไม่พัฒนา ทำไมไม่ทำตามเขาเลียนแบบเขาให้ทัน? ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นไหม? ”
“ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น”
“โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ ชีวิตลุงหายไปแล้ว 25%”
“แล้วลุงรู้ไหมว่า เศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง? ”
“ลุงไม่รู้หรอก”
“ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ ชีวิตของลุงหายไป 50%”
“ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหมลุง? ”
“ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหมลุง? ”
“ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย”
“ชีวิตของลุง ลุงรู้อยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้ ชีวิตของลุงหายไปแล้ว 75%”
พอดีช่วงนั้นเกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง คลื่นลูกใหญ่มาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม
“นี่พ่อหนุ่มเรียนหนังสือมาเยอะจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม? ”
“ได้...จะถามอะไรหรือลุง? ”
“เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม? ”
“ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง”
         “ชีวิตของเอ็งกำลังจะหายไป 100% แล้วพ่อหนุ่ม“

         อย่าคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่มีการศึกษาสูง ยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ต้องศึกษาอีกมาก แม้จะไม่มีใบประกาศมอบให้คุณก็ตาม

4
Thailand / หมอยิ้ม
« on: April 25, 2015, 12:49:41 PM »
หมอคนหนึ่งวิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ หลังจากได้รับโทรศัพท์ผ่าตัดด่วน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งสู่โซนผ่าตัดในทันที...

หมอได้พบกับ พ่อของเด็กชายที่ไปๆมาๆอยู่ในห้องโถงและกำลังรอหมออยู่ ตอนที่หมอเจอ พ่อของเด็กโวยวายใส่หน้า
"ทำไมคุณเสียเวลากว่าจะมาได้? คุณรู้ไหมชีวิตลูกชายของผมอยู่ในอันตราย? คุณมีความรู้สึกรับผิดชอบบ้างไหม?"...

หมอยิ้มและพูดว่า
"ผมขอโทษจริงๆครับ เผอิญผมไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล และผมก็มาอย่างเร่งด่วนที่สุดทันทีที่รับโทรศัพท์แล้วครับ...
และตอนนี้ ผมอยากให้คุณใจเย็นๆ ผมจะได้ทำงานได้น่ะครับ"...

"ใจเย็นหรือ ถ้าลูกชายของคุณเป็นคนที่อยู่ในห้องตอนนี้, คุณจะใจเย็นไหม? ถ้าลูกชายของคุณตายคุณจะทำยังไง??"
พ่อพูดอย่างโกรธกริ้ว
หมอยังยิ้มและตอบกลับไปว่า
"ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถครับ คุณทำใจให้สบายเถิดน่ะ"...

การผ่าตัดใช้เวลาไปหลายชั่วโมง หมอเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข...
"ขอแสดงความดีใจด้วยครับ ลูกชายของคุณปลอดภัย"
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบของคนเป็นพ่อจะพูดอะไร หมอบอกพ่อของเด็กขณะที่วิ่งออกไป
"ถ้าสงสัยอะไรให้ถามพยาบาลได้เลยครับ"...

"ทำไมหมอคนนี้ถึงยโสนัก? รอผมถามคำถามเกี่ยวกับลูกชายซักคำก็ไม่ได้" พ่อของเด็กติให้พยาบาลฟัง ทันทีที่หมอกลับไป

น้ำตาไหลรินผ่านใบหน้าของพยาบาล เธอตอบว่า
"ลูกชายของหมอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนเมื่อวาน,
หมอเขาอยู่ในพิธีงานฝังศพตอนที่เราโทรตามหมอเพื่อมาผ่าตัดลูกชายคุณ. และตอนนี้เขาช่วยชีวิตลูกชายคุณเสร็จแล้ว, เขาจึงต้องรีบกลับไปพิธีฝังศพลูกชายของเขาให้เสร็จสิ้นค่ะ"
...
"คนเราไม่ควรวิพากษ์คนซักคน เพราะคุณไม่เคยรู้ว่าชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร เกิดอะไร และเขาได้ผ่านอะไรมาบ้าง ".. นะครับ

Cr : กลุ่มไลน์อนุบาลช้างน้อย

5
Thailand / ผู้หญิงที่พูดไม่ได้
« on: March 10, 2015, 02:17:40 PM »
ท่านมองตัวเองอย่างไร?

สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิด (cerebral palsy) ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปรกติและพูดไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอตามที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น

ครั้งหนึ่ง เธอไดเรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (เธอพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า

“คุณอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เกิด คุณเคยรู้สึกน้อยใจไหม? แล้วท่าน
มองตัวเองอย่างไร?”

คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ผู้ที่ร่วมฟังบรรยายอย่างมาก ต่างห่วงว่า คำถามนี้จะกระทบความรู้สึกของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสือว่า

“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”

เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ

1.ฉันเป็นคนนิสัยน่ารักมาก
2.ฉันมีขาที่เรียวงาม สวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้า ได้มอบความรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก

และ….

ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า

“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”

หลังจากนั้น เสียงปรบมือดังสนั่นในห้องบรรยาย พร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอ ได้เพิ่มกำลังใจแก่ผู้คนอย่างมากมาย เธอผู้เป็นโรคสมองพิการนี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน (Huang Meilian) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน

“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ จงหันมามองสิ่งที่ดีในตัวเอง ลืมในสิ่งที่

เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลืมอดีตที่ผ่านไป มองไปข้างหน้าแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด

6
Thailand / โดนขโมยมะม่วง
« on: January 26, 2015, 03:41:16 PM »
Secret Magazine (Thailand)

"พ่อครับ ข้างบ้านเขาขโมยสอยมะม่วงเราครับ"
เด็กชายตัวน้อยวิ่งตื๋อมาหาพ่อ

พ่อหัวเราะแล้วถาม
"เราเหลืออีกหลายลูกไหม? ลูก"
"ผมเห็นอีกหลายลูกเลยครับ"
"งั้นไปสอยมะม่วงสุกมาให้พ่อสักเจ็ดลูกสิ"

เด็กชายเข้าใจว่าพ่อคงใช้ให้สอยมะม่วงเพราะกลัวเพื่อนบ้าน
จะขโมยอีก จึงรีบสอยมะม่วงมาให้พ่อ

เมื่อได้มะม่วงก็หอบมาให้พ่อ หวังว่าจะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ปรากฎว่า ผู้เป็นพ่อนำมะม่วงทั้งหมดมาจัดใส่ตะกร้าอย่างสวยงาม
แล้วจูงมือลูกชายไปกดกริ่งหน้าประตูของเพื่อนบ้านที่ลูกชายบอกว่า
สอยมะม่วงไป

เด็กชายงง ไม่เข้าใจว่าพ่อจะทำอะไร เมื่อเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมา
เป็นชายวัยกลางคน หน้าตามีพิรุธเหมือนทำผิดอะไรบางอย่าง
ผู้เป็นพ่อจึงยื่นมะม่วงทั้งตะกร้าให้ แล้วกล่าวว่า

"ผมเอามะม่วงมาฝากครับ เป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านข้างๆนี่เอง
มีอะไรก็บอกกันนะครับ จะได้ช่วยเหลือกัน"

ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกให้พ่อรอสักครู่
พร้อมทั้งกลับมาด้วยตะกร้าใบเดิม แต่คราวนี้มีไข่ไก่เต็มตะกร้า

"ผมเลี้ยงไข่ไก่ไว้หลายตัว ขอให้ไข่เป็นของตอบแทนน้ำใจนะครับ"

พ่อกล่าวของบคุณ แล้วจูงมือเด็กชายกลับบ้าน เด็กชายถามพ่อด้วยความสงสัย

"ทำไมพ่อถึงเอามะม่วงไปให้เขา แทนที่จะไปทวงมะม่วงของเราคืนมา"

"ถ้าพ่อไปทวงมะม่วง เราอาจจะได้มะม่วงคืน แต่เราจะเสียเพื่อนบ้าน
และอาจถึงกับโกรธกัน แต่นี่พ่อเอามะม่วงไปให้เขาเจ็ดลูก รวมที่เขาสอยไปหนึ่งลูกเป็นแปดลูก แต่เราได้ทั้งน้ำใจเขา ซึ่งก็คือไข่ตะกร้าใหญ่ แถมยังได้เพื่อนบ้านเพิ่ม ลูกว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะ"

คัดลอกจากคอลัมน์ Sharing นิตยสาร Secret ฉบับ 10 ธ.ค.57

7
Thailand / บันทึกหน้าสุดท้าย
« on: November 15, 2014, 04:10:43 PM »
เช้าวันหนึ่ง... ภรรยาบอกกับสามีว่า...
....
"วันนี้ ฉันจะกลับบ้านไปเยื่ยมแม่
จะไปค้างสักคืนหนึ่ง แม่ไม่ค่อยสบาย
คุณจะขับรถไปส่งฉันหน่อยได้ไหม
ฝนตกหนักแบบนี้ ไปรถโดยสารไม่สะดวกเลย"
.
สามี... ซึ่งหน้าตาบูดบึ้งมาตั้งแต่เช้า
ไม่ตอบภรรยา... แต่กลับกระชากเสียงถามกลับไปว่า...
"เมื่อวาน เธอซื้อเสื้อใหม่มาใช่ไหม...
เธอรับปากฉันแล้วนะว่าจะไม่ใช่เงินฟุ่มเฟือย
เรายังต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียน
ค่าใช้จ่ายเยอะแยะ... ทำไม...ไม่ช่วยกันประหยัด!!"
.
ภรรยา...พูดออกมาเสียงเบาๆ อย่างคนรู้สึกผิดว่า
"ที่แท้..คุณโกรธเรื่องนี้นี่เอง"
.
ภรรยา... ก้มหน้าจัดเสื้อผ้าเงียบๆ
แล้วบอกสามีว่า...
"วันนี้ มีรถโดยสารเข้าเมืองแค่เที่ยวเดียว
ฉันคงต้องรีบไปแล้วหละ...
คุณไม่ต้องไปส่งก็ได้"
แล้วเธอก็ออกบ้านไป โดยสามีไม่สนใจเลย
เพราะยังโกรธอยู่มาก...
.
ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป...
สามีได้ยินเสียงเอะอะ บนถนน...
จึงออกไปดู แล้วจึงได้ยินผู้คนตะโกนกันว่า
ฝนที่ตกหนัก เซาะตลิ่ง
จนสะพานเข้าเมืองได้ขาดลง
มีรถเมล์คันหนึ่ง ตกลงไปในน้ำด้วย...
.
สามี...ได้ยินดังนั้น ตกใจมาก
กระโดดออกจากบ้านไปทันที
เมื่อไปถึงแม่น้ำ... รถเมล์ที่ถูกเก็บกู้จากน้ำ
เหลือเพียงซากเหล็ก
สัมภาระกระเป๋าต่างๆ
ของผู้โดยสารกระจัดกระจาย
มีการหามร่างของผู้เสียชีวิต คนแล้วคนเล่า
ขึ้นมาจากแม่น้ำ...
.
ชายหนุ่ม เฝ้ามองหาภรรยา... ก็ไม่พบ
ก็เสียใจเจียนสิ้นสติ...
เฝ้าถามหน่วยกู้ภัยที่ทำงานอยู่
ว่า "เห็นภรรยาผมบ้างไหม ๆๆๆ
เธอใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีดำ"
.
ทุกคนส่ายหน้า... บอกว่าไม่เห็น
.
เวลาผ่านไปจนเกือบเย็น
กู้ภัย หยุดการทำงาน เพราะไม่มีผู้เสียชีวิต
ที่หาพบแล้ว
จึงบอกชายหนุ่มว่า... "หักห้ามใจเถอะนะ
ภรรยาคุณ คงโดนน้ำพัดไปไกลแล้ว"
.
ชายหนุ่มเดินกลับบ้าน เหมือนคนไม่มีวิญญาณ
ร้องไห้ไป คร่ำครวญไปตลอดทาง
ในใจของเขา เฝ้าแต่คร่ำครวญว่า
"ทำไมๆๆๆ เราไม่ขับรถไปส่งเธอนะ...
เราไปด่าเธอทำไมว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย
เสื้อตัวเดียว มันจะราคาเท่าไหร่กัน"
.
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน คาดไม่ถึงว่า...
ภรรยากลับนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
มีอาหารอยู่บนโต๊ะ...
ในมือเธอ มีเสื้อกันหนาวเก่าตัวหนึ่ง
ซึ่งเธอกำลัง เย็บซ่อมชายเสื้อที่รุ่ยอยู่...
.
"คุณไปไหนมาคะ " ...ภรรยายังพูดไม่ทันจบ...
สามีก็ตรงเข้าไปกอดเธอจนแน่น...
"คุณเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม...
วันนี้ ฉันมัวเอาเสื้อไปคืนที่ร้าน
เสียเวลาอ้อนวอนให้เขารับคืนไปมาก
เลยไปขึ้นรถเมล์ไม่ทัน...
อากาศจะหนาวแล้ว ฉันเลยรื้อเสื้อเก่ามาซ่อม
ก็พอใส่ได้อีกหลายปีนะคะ
ฉันนี่แย่จริงๆ ของเก่าก็ยังมี
ไปซื้อของใหม่มาทำไม
.
.
เรื่องบางเรื่อง... เราโกรธจนลืมไปว่า
มันไม่สำคัญเทียบเท่ากับ
"ความสุข" ของเราเลยนะ
เรื่องบางเรื่อง... ไม่สำคัญเท่ากับ
"ความสุข" ของคนที่เรารัก...
เรามีเวลาในโลกนี้... จำกัด...
เวลาที่ใช้ร่วมกัน...ยิ่งจำกัด...
อะไรที่ไม่สำคัญมากพอ
ก็อย่านำมาเป็นอารมณ์มากมายนักเลย
.
คลั่ง...กับเรื่องเล็กน้อยไปไย
ศิลปะแห่งปัญญา คือ
ความเข้าใจว่า... ควรเครียดกับเรื่องใด
และควร ผ่อนปรน...ในรื่องใด...

.
#‪#‎ดัดแปลงจาก‬...วางได้ก็ไร้ทุกข์ โดย... " หวงถง "

8
Thailand / ฉันไปทำ.."เสน่ห์ยาแฝด"
« on: October 13, 2014, 02:26:31 PM »
เรื่องจริง...น่าอ่าน!! ฉันไปทำ.."เสน่ห์ยาแฝด"

(ใช้เวลาประมาณ 10 นาที อ่านทำความเข้าใจ อยากให้อ่านให้จบคัฟ)
(ขอบคุณ..เพจ Dareen)

ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้
แต่แล้วจู่ๆ เค้าก็มาบอกว่า..
"เราเลิกกัน เค้าไม่ได้รักฉันแล้ว ตอนนี้เค้าพบคนใหม่
ตลอดเวลาเค้าหลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้"

ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหน
ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุกอย่าง
ขอเพียงแค่ "กลับมาเหมือนเดิม" แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา,
หงุดหงิด,รำคาญ ทำอะไรก็ผิดไปหมด...

เพื่อนแนะนำฉันให้.. "ไปทำเสน่ห์" ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยาก
ยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเข้าใกล้ แต่.... ณ จุดจุดนี้ ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง....ขอเพียงได้เค้ากลับคืน อะไรก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้....

"ปู่ฤาษี" .....คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหา เพื่อนบอกว่า ...
"ท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่าน
ก็เป็นคนเรียกกลับมาทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา ไม่ไปมีใหม่อีกเลย"

บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ 10 คัน
วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่ 3 คัน มองเข้าไปในบ้าน มีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอก มีเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ เพื่อนพาฉันเข้าไป ภาพที่ฉันเห็น "ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ 28 – 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้ม มือคีบบุหรี่พูดไป ยิ้มไป ปล่อยมุกสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่เข้ามาหาหัวเราะ
เป็นระยะ ๆ นุ่งชุดลายเสือ ดูดีมีเสน่ห์...

คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษี ทำไมยังหนุ่ม แต่ ณ วินาทีนั้นความรัก
บังตาไม่ได้คิดอะไรเพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์
ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อตแรกก็ออกไป
ถึงคิวของฉันเพื่อนแต่งขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) พร้อมเงิน 100 บาท
ให้ฉันเขียนชื่อ-นามสกุล พร้อมที่อยู่ ของฉันและของแฟน ยื่นให้ปู่ฤาษี

".........(เอ่ยชื่อฉัน) ดวงไม่ดี จะถูกแย่งของรัก .......
(เอ่ยชื่อแฟน) คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย?" ฉันตอบ "ใช่ค่ะ"

"มีอะไรจะถาม?" ท่านถามฉัน ......เงียบ ......ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไร
เพื่อนหันมาสะกิด "ตอบไปซิ" ก็ไม่รู้จะตอบอะไร..........

ท่านนั่งหลับตาสวดคาถาประมาณ 5-10 คำ แล้วหันมาถาม
" รักเค้ามาก ตอนนี้ใจเศร้าหมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย .........
อยากได้เค้ากลับมามั๊ย?" ท่านหันมาถาม

"อยากได้ค่ะ" ฉันตอบ
"ถ้าอยากได้คืน จะช่วย แต่จะต้องจ้างน่ะ มีเงินเท่าไหร่?" "สองพันค่ะ"
ท่านหลับตาสักพัก "ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงิน ห้าพันบาท
ในสมุดบัญชีมีเงินอีก 3 หมื่น"

ฉันตกใจท่านรู้ได้อย่างไร
"ถ้าอยากได้คืน ปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น" "ตกลงค่ะ!" ฉันตอบตกลง
"จะบ้าเหรอ.....3 หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง" เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน
แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้แฟนกลับคืนมา
ปู่ฤาษี มองหน้ายิ้ม ๆ "ให้ไปเอา..................................."
ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธี

รุ่งขึ้น เดินทางไปหาปู่ฤาษี ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด
เกือบบ่าย 2 ถึงคิวฉันซะที ท่านหันมายิ้ม "เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ"
ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชายอีกคนเป็นคนอาบให้
ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไปด้วย .....หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ
ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ ทำพิธีอยู่ประมาณ 10 นาที
หลังเสร็จพิธีท่านผูกแขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง

1. ทุกวันตอนเย็น ให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด
หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่

2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ

3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังให้หมด
ห้ามปิดบังและโกหก

4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาด ภายใน 15 วัน
หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ 15 วัน

ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่ 15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน 15 วัน
หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน

ฉันรับปาก และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้......เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง
เป็นวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า.....................วันที่สิบห้า
วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้ ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า.......
"เป็นไง.....รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า" ท่านถาม
"ค่ะ สบายใจขึ้น มากแล้วค่ะ"

"รักเค้ามากเลยหรือ" ท่านถาม
"ค่ะ"

"ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า"
"โทรค่ะ"

"แม่ว่าไง เค้าเสียใจมั๊ย"

"แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ ท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ"

"แม่เสียใจ แล้วเราเสียใจมั๊ย"
.....ฉันเงียบ เริ่มคิด "เสียใจค่ะ"

"ตอนเราร้องไห้ แม่เค้าว่าไง"
"......แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ...."

"รักแม่มั๊ย"
"รักค่ะ"

"ใครทำให้เราเสียใจ?...ใครทำให้เราเป็นแบบนี้? ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย"
.......ฉันนั่งนิ่ง น้ำตาเริ่มไหล.......

"ทำงานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย....
เวลาไปตลาดเห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบกินอะไร
จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร..........
ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมากินเป็นที่เราชอบ
หรือเป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ........
ทำไมต้องให้เค้ามามีอิทธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น

"เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร.......ตอบได้มั๊ย"
".......เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ"

"ทำไมเค้าไปมีคนใหม่"
"......ไม่ทราบค่ะ" ฉันตอบไปพลางเช็ดน้ำตา

"เพราะสันดาน......เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ย คนดี จะคิดดี ทำดี พูดดี
คนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้
ไปตลอดชีวิตก็จะเอามันคืนให้....
แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจ มีชีวิตที่ดี
เจอคนดีๆ ก็เลิกกับมันซะ....

.......ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตาย
ก็เพราะมันสิ้นคิด เพราะแพ้ใจตัวเอง ใจอ่อนแอ ถ้าไม่คิด
ไม่นำจิตไปวางไว้กับมัน มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจ...ถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก

แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต
ถ้าเราเคยเอาชนะมันได้บังคับมันได้ เราก็จะไม่มีทุกข์
ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้
มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้

......สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง"
"ไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกดีค่ะ"

"ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้น
คิดถึงแม่ไว้ให้มากๆ ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้เค้าฟัง ให้มีสติ
อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน 15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้
ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือ ตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น
อย่าไปใส่ใจกับมัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน........"

ปู่ฤาษี หันไปหยิบของในย่าม เป็นเงิน 3หมื่นบาท ยื่นคืนให้ฉัน
"เงิน 3หมื่น ปู่ไม่เอาหรอก ให้เอาไปเก็บไว้ 2หมื่น เอาให้แม่ 5พัน
อีก 5พัน ไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้"
พูดจบแกก็หัวเราะ

"จำคำปู่ไว้ อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก
แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก
ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้น
พวกนุ่งผ้าเหลือง ผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่ม แต่ใจมันไม่ใช่คน
เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเจอคนดีก็ดีไป
ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ

จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้ เราโง่เอง ...หยุด...ห้ามไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก
จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจ วันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน"
ฉันกลับที่พัก เริ่มนั่งคิดทบทวน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา
ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า

แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง เริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆที่ผ่านมา
จิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้
น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้า ทำไมมันหายไปไหน
คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง

...........เสียงเคาะประตูหน้าห้อง.....
"ใครค่ะ?" ฉันถาม
"เราเอง" เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิด เค้ามาจริงๆ
ใจที่เคยเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมด
หัวใจเต้นแรง ใจเริ่มอ่อน เริ่มหวั่นไหว........

"มีธุระอะไร?" ฉันไม่ยอมเปิดประตู
".....เราคิดถึง.....เปิดประตูให้เราหน่อย"

.......ฉันเริ่มสับสน น้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี...
คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษี คิดถึงหน้าแม่.......

"กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่ กลับไปเถอะ"
ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน

........................................................

ทุกวันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน
ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย
เจอพวกซาตานในคราบนักบุญ ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อนๆ
ที่คิดจะไปทำเสน่ห์ ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนฉันเสมอไปน่ะค่ะ

จากคุณ: ว.

9
Thailand / ขอทาน
« on: September 02, 2014, 03:01:39 PM »
          มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ

คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า "บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก" เจ้าหนูพูดขึ้นว่า "ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง" ขอทานถามเจ้าหนู "ทำไมเป็นเช่นนั้น" เจ้าหนูตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ

ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้

เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้

ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแหืงหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา

เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ

ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง

ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย

เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู

พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู

ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง

คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1

พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้

คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวใด้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป。

ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป

ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป

ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

10
Thailand / ขำขำ
« on: June 24, 2014, 12:25:33 PM »
ลูกชายกำลังปรึกษาเรื่องอย่างว่ากับพ่อ [18+]
ลูกชาย : พ่อครับ…ถ้าผมมีอะไร กับคนรัก เรียกว่าอะไรครับ?
พ่อ : เรียกว่า make love
ลูกชาย : แล้วถ้า ผมมีอะไรกับเพื่อน เรียกว่าอะไรครับ?
พ่อ : เรียกว่า make friend
ลูกชาย : แล้วถ้า ผมมีไปมีอะไรแบบหมู่ กับ พวกนางแบบ โคโยตี้ เรียกอะไรครับ?
พ่อ : เรียกพ่อด้วย ….


 :P  :P   :P

11
Thailand / ข้าวสารสามกระสอบ
« on: June 20, 2014, 07:29:17 PM »
Raksak Vaidara
นุสนธิ์บุคส์


ข้าวสารสามกระสอบ

“แม่ครับ ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกมาทำนาช่วยแม่”
นางลูบหัวลูกชายสุดที่รักด้วยความเอ็นดู แล้วพูดว่า
“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกยังไง ขอบใจมาก แต่ลูกต้องเรียนหนังสือ จงวางใจ แม่เกิดเจ้ามา แม่ก็เลี้ยงดูเจ้าได้ ไปรายงานตัวก่อน ส่วนข้าวสารนั้น แม่จะเอาไปให้วันหลัง ลูกไม่ต้องห่วง! ”
“ให้ผมออกจากโรงเรียนเถอะ ผมจะมาช่วยแม่ทำงาน!”ลูกชายยังคงยืนยันคำตอบเดิม
“เพี๊ยะ!”เสียงมือของนางกระทบใบหน้าของลูกชาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางตบหน้าลูกชายวัย16ปี
ลูกชายก้มหน้าร้องไห้ออกจากบ้านไป นางมองลูกชายด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาแห่งความสงสารก็ไหลออกมาอาบแก้ม

สามีของนางจากไปตั้งแต่ลูกชายอายุได้7ขวบ แต่นางไม่ได้แต่งงานใหม่ เพราะกลัวว่าสามีใหม่จะไม่รักลูกของนาง
นางยอมอดทนหาเลี้ยงตัวเองและลูกด้วยการทำนาปลูกผักรับจ้างบ้างในบางครั้ง
ลูกชายของนางเป็นเด็กเรียนดี ดูได้จากใบประกาศและถ้วยรางวัลถูกวางซ้อนกันบนตู้เก็บของจนแทบจะไม่มีที่วางแล้ว นางยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นลูกตั้งใจอ่านหนังสือและทำการบ้าน

เมื่อลูกชายของนางจบมัธยมต้น ก็สอบเข้าโรงเรียนประจำอำเภอได้ ตอนนี้นางเป็นโรครูมาตอยด์ ทางโรงเรียนมีมติว่าให้ผู้ปกครองนำข้าวสารมาให้โรงเรียน30กิโล เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน เมื่อลูกชายรู้ว่าแม่ทำนาและรับจ้างต่อไปไม่ไหว จึงไม่อยากเรียนต่อ ด้วยความรู้สึกสงสารแม่ของตัวเอง เพราะเหตุนี้ นางจึงตบหน้าลูกไปในวันนี้

ไม่นานต่อมา ทางโรงเรียนก็ได้ต้อนรับคุณแม่ผู้มาสาย นางแบกถุงข้าวสารเดินมาด้วยอาการกระเผลก อาจารย์ผู้รับผิดชอบเปิดถุงข้าวสารเพื่อตรวจเช็ค เมื่อกำเอาข้าวสารขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า
“ผู้ปกครองอย่างพวกคุณ ชอบเอาเปรียบโรงเรียนแบบนี้เหรอ! ดูสิๆ นี่อะไร!มีทั้งข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวก่ำ ข้าวหักฯ พวกคุณเห็นโรงเรียนของเราเป็นถังข้าวผสมเหรอ?”
เมื่อได้ฟังอาจารย์พูด นางก็ก้มหน้าด้วยความละอาย เอาแต่พูดว่า “ขอโทษค่ะๆ” เมื่ออาจารย์เห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่รับข้าวสารกระสอบนั้นไว้อย่างไม่เต็มใจนัก
นางล้วงมือเข้าไปในถุงใบเก่าๆเล็กๆใบหนึ่ง พร้อมกับหยิบเอาเศษเหรียญออกมาหนึ่งกำมือยื่นให้อาจารย์
“อาจารย์คะ นี่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้ของลูกชายอิฉัน ขอรบกวนอาจารย์ช่วยเก็บไว้ให้เขาหน่อยนะคะ” อาจารย์ยืนมือไปรับไว้และก็ส่ายหัวไปมา
“คุณขายไข่ปิ้งเหรอ?” อาจารย์พูดเยาะ
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางต้องก้มหน้าด้วยความอาย ได้แต่พูดว่า “ขอบคุณค่ะๆ” แล้วก็เดินกระเผลกๆออกไป

ต้อนเดือนที่สอง นางก็แบกข้าวสารมาให้โรงเรียนเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่ออาจารย์คนเดิมเปิดถุงข้าวสารออกมา ก็ต้องขมวดคิ้วเหมือนครั้งก่อน เพราะมันเป็นข้าวสารรวมมิตรเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาคิดในใจว่านางคงฟังไม่เข้าใจแน่ๆ ครั้งนี้จะต้องพูดให้นางเข้าใจอย่างชัดเจน
“ถ้าเป็นข้าวสาร เรารับไว้แน่นอน แต่ต้องแยกประเภท ไม่ใช่ปนกันมาอย่างนี้ ครั้งหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ หากครั้งหน้ายังเป็นอย่างนี้อีก ผมจะไม่รับนะ” เมื่อนางได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์คะ ข้าวสารที่บ้านของเราเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงดี?”
เมื่ออาจารย์ได้ยินก็หัวเราะด้วยความรู้สึกขำ แล้วก็ถามกลับไปว่า
“จะบ้าเหรอ! บ้านของคุณทำนายังไงปลูกข้าวได้หลายชนิดในแปลงเดียวกัน ”
โดนฉีกหน้าอย่างนี้ นางรู้สึกจุกที่ลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรดี อาจารย์คนนั้นก็เดินจากไปแบบไม่ใยดี

ต้นเดือนที่3 นางก็มาอีก เมื่ออาจารย์คนนั้นได้เห็นข้าวสารที่ยังเหมือนเดิมอยู่ ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ตะคอกออกไปอย่างขาดสะติว่า
“โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ทำไมยังเอาข้าวผสมกันมาอีกแล้ว เอาไปเลยนะ เอากลับไปเลย แบกมายังไงก็แบกกลับไปอย่างนั้น ฉันไม่รับอีกแล้ว! ”
นางคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
“อาจารย์คะ ฉันขอบอกตามความจริง ข้าวเหล่านี้ฉันไปขอ.....ไปเขาทานมาค่ะ ”
อาจารย์คนนั้นยืนตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ได้แต่กรอกตาไปมา
นางนั่งอยู่กับพื้น ถลกขากางเกงขึ้นมา ให้อาจารย์เห็นขาทั้งสองข้างที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูปอีกทั้งบวมเป่ง นางเอามือปาดน้ำตาแล้วพูดว่า
“ฉันเป็นโรครูมาตอยด์ระยะที่สาม แม้แต่จะเดินก็ลำบากมาก ไหนเลยจะทำนาได้อีก ลูกชายของฉันเป็นเด็กรู้ความ จะลาออกจากโรงเรียนออกมาช่วยฉันทำนา ถูกฉับตบหน้าถึงได้กลับมาเรียนต่อ.... ”
นางเล่าว่า นางไม่กล้าบอกความจริงกับลูกและญาติๆของนาง เพราะกลัวว่าลูกชายและญาติจะอับอาย ทุกๆวันตอนเช้ามืด นางจะเดินทางออกจากบ้านไปยังหมู่บ้านอื่นหลายสิบกิโลเพื่อขอข้าวสาร จากนั้นก็ต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว นางถึงจะกลับมาที่บ้าน เมื่อได้ข้าวมา นางจึงเอามารวมกันในถังข้าวสาร

นางก้มหน้าเล่าไปร้องไห้ไป โดยไม่รู้ว่าอาจารย์คนนั้นก็ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มเหมือนกับนาง เขาคุกเข่าลงไปพยุงนางขึ้นมา
“คุณเป็นแม่ที่ประเสริฐเสียจริง ผมจะไปรายงานให้อาจารย์ใหญ่ทราบ ขอให้ทางโรงเรียนนำเงินมาช่วยเหลือคุณและครอบครัว” เมื่อนางได้ยิน นางรีบโบกไม้โบกมือ
“อย่านะคะ อย่าทำอย่างนั้น หากลูกของฉันรู้ว่าฉันไปขอข้าวเพื่อมาเลี้ยงเขา เขาจะอับอาย อย่าบอกใครนะคะ อาจารย์เมตตาอิฉัน อิฉันขอขอบพระคุณ ขอให้อาจารย์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ อย่าได้บอกใคร!”
เมื่อนางกลับไปแล้ว เรื่องของนางก็ถึงหูของอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่จึงงดเก็บค่าเทอมของลูกชายนางทั้ง3ปี

หลังจาก3ปีผ่านไป ลูกชายของนางก็สอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว ในวันมอบใบประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่ได้เชิญว่าที่นักศึกษาลูกชายของนางขึ้นเวที ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะเพื่อนที่เรียนเก่งและได้คะแนนดีกว่าเขา ทำไมไม่ถูกเรียก แต่กลับเป็นเขาที่ถูกเรียกขึ้นเวทีแทน
และที่น่าประหลาดใจก็คือ บนเวทีมีกระสอบพลาสติกเก่าๆ3ใบวางไว้ อาจารย์ใหญ่ให้อาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารขึ้นมาเล่าเรื่องแม่ขอข้าวส่งลูกเรียนหนังสือให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างก็นั่งน้ำตาซึมไม่มีเสียงพูดใดๆ อาจารย์ใหญ่ชี้มือไปที่กระสอบทั้ง3ใบแล้วพูดว่า
“นี่คือข้าวสาร3กระสอบที่คุณแม่ท่านนั้นออกไปขอทานมา นี่คือข้าวสารที่ไม่อาจใช้เงินซื้อหามาได้ ตอนนี้ขอเชิญคุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ขึ้นมาบนเวที”
ว่าที่นักศึกษามองไปข้างล่างเวที ก็เห็นอาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารพยุงคุณแม่ของเขาเดินขึ้นเวทีมา ไม่มีใครรู้ว่าบุตรชายของนางคิดอะไรอยู่ เมื่อแม่ของเขามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้า เขาก็คุกเข่าลงไปกราบแม่และพูดว่า “แม่....ผมขอโทษ.....”

@@@@

ลูกรัก ต่อให้ลำบาก แม่ก็จะทำเพื่อลูก!
คุณละครับ ทำอะไรเพื่อพ่อแม่แล้วหรือยัง?

12
Thailand / ปลาทูไหม้
« on: May 30, 2014, 01:15:10 PM »
Treemobile


ชอบเรื่องนี้มากๆ อ่านบ่อยๆ เตือนตัวเอง ครับ

"แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน...
คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน พอแม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ ที่โต๊ะอาหารแม่วางจานที่มีปลาทูที่ไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้าพ่อและทุกๆคน....

ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร.....

แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ ...อร่อยมากนะแม่"

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอน และถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ"

พ่อลูบหัวผม และ ตอบว่า...."แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันต่างหากที่จะทำร้ายกัน"

"ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"

"พ่อเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยลืมวันเกิดแม่ วันครบรอบวันแต่งงาน และแม้แต่พ่อเองยังเคยลืม ทำบุญวันเกิดของพ่อและแม่ของพ่อเองตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย”

แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ.....การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง

การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว

“ชีวิตเราสั้นเกินกว่า ที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแลและทะนุถนอมคนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัยจะดีกว่า"
**ถ้าเรารู้ เราจะทำไหม?**

• เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักริมถนนแยกที่ผ่านมาไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้าใส่ขาเทียม

• เราจะเบียดชนคนข้างหน้าที่เดินช้ามากไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้าเพิ่งตกงาน

• เราจะขำคนที่แต่งตัวเชยไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว

• เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพารากอนไม๊ – ถ้าเรารู้ว่านั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ

• เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นคนนั้นไม๊ – ถ้ารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย

• เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรากำลังเจออะไร
แต่เราไม่มีวันรู้ว่า "คนที่เราเจอ – กำลังเจอกับอะไร"

**โลกกว้างกว่าเงาของเรา และโลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา

**มองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆไปบ้าง ให้โอกาสและให้อภัย มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน ยาวนาน

13
Thailand / สุขเล็กๆๆ
« on: May 28, 2014, 02:06:15 PM »
จะแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่ง ก็ควรจะอ่านนี่ ...


"เมื่อผมกลับถึงบ้านในคืนนั้น ภรรยาของผมกำลังเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ผมถือมือของเธอและพูดว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกคุณ เธอนั่งลงและกินอย่างเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่ผมสังเกตเห็นความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ทันใดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปยังไง ผมแค่รู้ว่าผมจะต้องบอกเธอในสิ่งที่ผมคิดให้ได้ “ผมต้องการหย่า” ผมเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบๆ เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของผม แต่กลับถามผมอย่างสงบ “ทำไม?”

ผมหลีกเลี่ยงคำถามของเธอ และนั่นทำให้เธอโกรธ เธอโยนตะเกียบทิ้งและตะโกนมาที่ผม “หน้าตัวเมีย!” คืนนั้นเราไม่ได้พูดคุยกัน เธอร้องไห้ ผมรู้ว่าเธอต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา แต่ผมคงไม่สามารถจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอได้ เธอได้สูญเสียความรักของผมให้กับเจน ผมไม่ได้รักเธออีกต่อไป ผมแค่สงสารเธอ!

ผมร่างข้อตกลงการหย่าด้วยความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง สัญญาระบุว่าเธอจะเป็นเจ้าของบ้านของเรา รถของเราและสัดส่วนการถือหุ้น 30% บริษัท ของผม เธออ่านมันเผินๆแล้วฉีกมันเป็นชิ้น ผู้หญิงที่ได้ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาในชีวิตของเธอให้กับผมได้กลายเป็นคนแปลกหน้า ผมรู้สึกเสียใจสำหรับเวลาที่เสียไปของเธอ แต่ผมก็ไม่สามารถกลับคำพูดที่ผมได้ขอหย่ากับเธอ เพราะผมเองก็รักเจนมาก ในที่สุดเธอก็ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผม อย่างที่ผมนึกคาดไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับผมการร้องไห้ของเธอเป็นเหมือนการปลดปล่อย ความคิดของการหย่าร้างซึ่งทำให้ผมสับสนมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ตอนนี้ดูเหมือนจะแน่ชัดและชัดเจนขึ้น

วันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงบ้านดึกมากและพบว่าเธอกำลังเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่ได้ทานอาหารมื้อเย็น แต่ตรงไปยังที่นอนและหลับลงอย่างรวดเร็ว เพราะผมเหนื่อยหลังจากวันที่แสนยุ่งกับเจน เมื่อผมตื่นขึ้นมาเธอยังคงนั่งเขียนอยู่ที่โต๊ะ ผมไม่อยากจะสนใจเธอผมจึงพลิกตัวหนีเพื่อจะนอนต่อ

ในตอนเช้า เธอยื่นเงื่อนไขการหย่าร้างของเธอ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากผม แค่ผมจะต้องบอกให้เธอรู้หนึ่งเดือนก่อนที่ผมจะหย่ากับเธอ เธอขอร้องว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น เราทั้งคู่จะพยายามดำเนินชีวิตคู่อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอให้เหตุผลง่ายๆว่า เพราะลูกชายของเรากำลังจะสอบ และเธอไม่อยากให้การหย่าของเรากระทบกระเทือนการสอบของเขา

นี่คือข้อตกลงของเธอกับผม เธอขอให้ผมระลึกถึงวันแต่งงานของเราทั้งคู่และขอให้ผมระลึกถึงช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอเข้าเรือนหอในวันที่เราแต่งงานกันโดยการให้ผมอุ้มเธอออกจากห้องนอนของเราไปยังประตูหน้าบ้านทุกวัน ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายของชีวิตแต่งงานของเรา ผมคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแต่ก็ตกลงยอมรับคำขอของเธอ

ผมบอกเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการหย่าร้างของภรรยาของผม เจนหัวเราะเสียงดังและคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ว่าภรรยาของผมจะใช้มารยาอะไรที่เธอมี มันก็ไม่ทำให้เธอหลีกเลี่ยงการหย่าร้างได้ เจนกล่าวอย่างเหยียดหยาม

ผมและภรรยาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ผมแสดงความตั้งใจเรื่องการหย่า ดังนั้นเมื่อผมอุ้มเธอออกไปที่ประตูบ้านเป็นวันแรก เราทั้งคู่จึงดูงุ่มง่าม ลูกชายของเราปรบมืออยู่ด้านหลัง “กำลังอุ้มแม่อยู่เหรอครับ” คำกล่าวของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดใจ ระยะทางตั้งแต่ห้องนอนไปที่ห้องนั่งเล่นจนเลยไปที่ประตู ผมเดินกว่าสิบเมตรพร้อมกับเธอในอ้อมแขนของผม เธอปิดตาของเธอและพูดเบา ๆ ; อย่าบอกลูกของเราเกี่ยวกับเรื่องหย่า ผมพยักหน้ารู้สึกอารมณ์เสียบ้าง ผมปล่อยเธอลงที่ด้านนอกประตู เธอไปรอรถประจำทางเพื่อไปทำงาน ผมขับรถคนเดียวไปยังสำนักงาน

ในวันที่สอง เราทั้งคู่ต่างเกร็งน้อยลง เธอโน้มตัวบนหน้าอกของผม ผมได้กลิ่นหอมจากเสื้อของเธอ ผมตระหนักว่าผมไม่เคยจ้องมองที่ผู้หญิงคนนี้อย่างละเอียดเป็นเวลานานแล้ว ผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเธอไม่ได้อ่อนเยาว์อีกต่อไป มีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเธอ ผมของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา! การแต่งงานของเราได้ทำให้เธออ่อนแรงลงไป นาทีนั้นผมถามตัวเองว่า ผมทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

ในวันที่สี่ เมื่อผมได้อุ้มเธอขึ้น ผมรู้สึกว่าความผูกพันของเรากำลังย้อนกลับมา นี่คือผู้หญิงที่ได้มอบชีวิตตลอดสิบปีที่ผ่านมาของเธอให้ผม ในวันที่ห้าและหก ผมตระหนักว่าความผูกพันของเรายิ่งมากขึ้นไปอีก ผมไม่ได้บอกเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งนานวันผ่านไป การอุ้มเธอไปที่หน้าประตูก็ยิ่งรู้สึกง่ายดายขึ้น บางทีการออกกำลังกายกับเธอในอ้อมแขนทุกเช้าอาจทำให้ผมแข็งแรงขึ้น

เธอเลือกชุดที่เธอจะใส่ในเช้าวันหนึ่ง เธอลองใส่ตัวนั้นตัวนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็หาที่ถูกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ “ชุดของฉันหลวมไปหมด” ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าร่างกายของเธอนั่นเองที่ได้ผ่ายผอมลง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสามารถอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น

ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทุกอย่าง ในหัวใจของเธอซ่อนความเจ็บช้ำและขมขื่นไว้มากมาย มือของผมยื่นไปแตะศรีษะของเธอโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ลูกชายของเราได้เข้ามาขัดจังหวะ เขาพูดว่าถึงเวลาที่ผมต้องอุ้มเธอออกไปแล้ว การที่ลูกชายของผมได้เห็นผมอุ้มแม่ของเขาออกไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว ภรรยาของผมกวักเรียกเขาเข้ามาแล้วกอดเขาไว้แน่นผมหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจเรื่องการหย่าในนาทีสุดท้าย ผมเข้าไปโอบเธอขึ้นมา อุ้มเธอออกไปจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่นจนถึงประตู มือของเธอคล้องคอของผมอย่างแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติ ผมกอดเธอไว้แน่น ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับวันแต่งงานของเรา

แต่น้ำหนักที่เบาโหวงของเธอทำให้ผมเศร้าใจ ในวันสุดท้ายเมื่อผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน ผมแทบจะไม่เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ลูกชายของเราไปโรงเรียนแล้ว ผมกอดเธอไว้แน่นและกล่าวว่าผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าชีวิตของเราขาดความใกล้ชิด จากนั้นผมรีบขับรถไปที่สำนักงาน กระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันจะได้ล็อคประตู ผมกลัวหากผมมัวชักช้า ผมจะเปลี่ยนใจอีก ...ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เจนเป็นคนเปิดประตูและผมบอกกับเธอ “ผมขอโทษเจน แต่ผมเปลี่ยนใจเรื่องหย่าแล้ว”

เธอมองผมด้วยความงุนงง จากนั้นจึงเอื้อมมือแตะที่หน้าผากของผม คุณไม่สบายรึเปล่า? เธอถาม ผมดึงมือของเธอออก “ขอโทษนะ เจน แต่ผมจะไม่หย่ากับภรรยาของผม ชีวิตแต่งงานของผมมันอาจจะเปลี่ยนเป็นน่าเบื่อเพราะหล่อนและผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดชีวิตของเรา แต่ผมไม่ได้เบื่อชีวิตคู่เพราะเราทั้งสองไม่ได้รักกันแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเมื่อผมโอบกอดเธอไว้ในวันแต่งงานของเรา ผมก็ควรที่จะโอบกอดเธอจนความตายจะพรากเราจากกัน เจนดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที เธอตบผมฉาดใหญ่แล้วกระแทกประตูปิด เจนทรุดลงทั้งน้ำตา ผมเดินลงมาชั้นล่างและขับรถออกไป มาถึงที่ร้านดอกไม้ ผมซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งเพื่อภรรยาของผม พนักงานสาวที่ร้านถามผมว่าจะให้เธอเขียนข้อความบนบัตรว่าอะไร ผมยิ้มและเขียนว่า “ผมจะอุ้มคุณออกไปที่ประตูทุกเช้า จนกว่าเราจะตายจากกัน”

เย็นวันนั้น ผมกลับบ้าน ผมถือดอกไม้ไว้ในมือ ผมมีรอยยิ้มบนใบหน้า ผมวิ่งขึ้นบันได...เพียงเพื่อจะพบภรรยาของผมนอนอยู่บนเตียง เธอไม่หายใจ ภรรยาของผมได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่ผมมัวยุ่งอยู่กับเจนเกินกว่าที่จะรับรู้อาการผิดปกติของเธอ เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายและเธอก็อยากจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆของลูกชายที่เขาจะมีต่อผมหากว่าเราหย่าจากกัน เพราะว่าอย่างน้อย...ในสายตาของลูกชายผม ผมก็จะยังเป็นสามีที่รักใคร่ดูแลเธอ

จริงๆแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตไม่ใช่คฤหาสถ์หลังใหญ่ ไม่ใช่รถไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองในธนาคาร สิ่งเหล่านี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข แต่ไม่สามารถให้ความสุขในตัวของมันเอง

ดังนั้น หาเวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนข้างๆคุณ และทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นให้แก่กัน ขอให้มีชีวิตคู่ที่มีความสุข!


เครดิต : ผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายเลือดเย็น

14
Thailand / บ้านพัก
« on: May 26, 2014, 04:21:57 PM »
ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย!

ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืด แม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่า กินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”

เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ

เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”

“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”

“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....

“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้

“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู
กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้

“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้

เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ

เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย

เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่ง กำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”

อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยาย กำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด

“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?” แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”

รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”

“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”

เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป

“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

#########################

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมด ค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า

สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว

ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!

ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ

ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !

15
Thailand / ความสัมพันธ์
« on: May 07, 2014, 02:05:41 PM »
มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก
คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย
ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า
คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ
ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น
มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน
แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ
จึงบอกว่า " ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า"

หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อยไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว"
เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า
"อยากเข้ามา ก็เข้ามา!"

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"

ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า
"โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจ
หลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ"
ชายคนนั้นไม่สนใจ

แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น
ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ
แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุม
ร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู
เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร
จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ
กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพ
ของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา
เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว
เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชติดตามหลวงตาองค์นั้นในที่สุด

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้
คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน
ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า
เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

ทุกๆวจีกรรม กายกรรม และมโนกรรม ที่เรานึกคิด
พูดล้วนเป็นกรรมหมด อยู่ที่เจตนาเป็นบุญหรือบาป ล้วนส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น...ธรรมะสาธุ

16
Thailand / หมาขี้เรื้อน
« on: April 18, 2014, 01:03:39 PM »
หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนหัวใจคนใจดำ


เรื่องเล่า… มีอยู่ว่า พี่ชิต แกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนัก ก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอก มันบาปนะลูก พี่แก ก็ไม่เคยสนใจ คำเตือนของแม่เลย

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป… ครั้งนั้น มีแม่หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกิน แถวๆ บ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด

ผมเคยถามพี่ชิต ที่กินหมา อยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมไม่กินหมาขี้เรื้อน แกบอก “กินไม่ลงว่ะ"

มีอยู่วันหนึ่ง เนื้อแห้งที่แกตากไว้ หายไป พอมองไป ก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนนั้น วิ่งคาบเนื้อตากแห้ง ของแกอยู่ ความแค้นใจ และการฆ่า ที่อยู่ในสันดาน

พี่ชิตคว้าไม้ ที่ใช้ตีหมาได้ ก็วิ่งตามไป อย่างรวดเร็ว พอตามทัน แกก็ทุบไปทีเดียว หมาขี้เรื้อนนั่น ล้มลงชักทันที (แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้เล็กๆ ธรรมดา ก็ตายได้ นี่คือคน ตีหมาจนชำนาญ)

พี่ชิตทิ้งซากหมา กองไว้อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องเหลียวหน้าไปดูอีก เพราะตีมาเป็นร้อย ก็ไม่มีทางฟื้น และวันนี้ ด้วยความโมโห พี่ชิตจะกินหมาขี้เรื้อนตัวนี้ ที่ดันมากินเนื้อตากแห้ง และมาหยาม ถึงถิ่นของแก

พี่ชิตเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอุปกรณ์ ในการแล่เนื้อ พร้อมกับสั่งให้ผม เฝ้าซากหมาขี้เรื้อนตัวนี้เอาไว้ แต่ผมก็มัวแต่เก็บตะขบ จนลืมดู

พอพี่ชิตมาถึง ก็โวยวายกับผมว่า ซากหมาหายไปไหน พร้อมกับวิ่งตาม รอยเลือด หมาขี้เรื้อนตัวนี้ พร้อมกับบ่นว่า... “ทำไมมันไม่ตายวะ”

สักพักหนึ่ง แกก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกก็ตามเสียงไปทันที
พอไปถึง ภาพที่เห็นคือ หมาขี้เรื้อน กำลังจะตาย มันมีลูก ที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังกินนมอยู่

บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อ ที่แม่หมาขี้เรื้อน คาบไปฝาก (เห็นกับตา) แม่หมาขี้เรื้อนตัวนี้ มันตายแล้วฟื้น คงไม่ใช่ แต่ที่มัน ยังไม่ยอมตาย ก็เพราะจิตใจอันเข้มแข็ง ของมัน ที่ปลุกเร้าเยื่อใย ที่คงเหลือ อย่างเหนียวแน่นว่า… ต้องกลับไปให้ได้ เพื่อให้ลูกมันกินนมครับ

การตีของพี่ชิตนั้น กระทบกระเทือน ถึงหัวสมองแตก เลือดสาดเป็นลิ่มๆ แต่มันก็ยัง ลากตัวมันเอง กระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน เพื่อกลับมาหาลูกของมันจนได้

และสิ่งที่เห็นคือ... การกระทำที่ยิ่งใหญ่ ของความเป็นแม่ ที่รักลูกมากเป็นที่สุด โดยไม่ห่วงตัวจะตาย นี่จิตใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ไม่ว่าสัตว์ หรือคน ก็มีจิตใจเช่นนี้ แม้มันจะตาย ก็ขอให้ลูกพวกมัน ได้อิ่มซักมื้อ

แม่หมาพยายาม อย่างดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจะเชื่อ... นั่นคือ น้ำตา ของแม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันมองผมกับพี่ชิต เหมือนขอร้อง เป็นครั้งสุดท้าย ที่มันต้องการให้นมลูก ก่อนตาย

สายตาของมันเศร้ามาก มันมองผมกับพี่ชิต อย่างวิงวอนทางสายตา ที่ขอร้องของมัน เพื่อขอให้มัน ได้ให้นมลูกของมัน เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตาย

พี่ชิต ไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดู แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ในยามนั้น... สิ่งที่แกเห็น ไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นจิตใจ แห่งความเป็นแม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทนเจ็บปางตาย เพื่อกลับไปหาลูกให้ได้

ไม่พูดอะไร... ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ... สายตาพี่ชิต ที่แข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลง พร้อมกับมีลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้น พร้อมมองไปที่ สายตา ของแม่หมาขี้เรื้อนนั้น อย่างสำนึกผิด และพูดคำว่า "ขอโทษ” พูดได้แค่นั้น แม่หมาก็สิ้นใจตาย อย่างตาหลับ

ผมกับพี่ชิต ช่วยกันฝังแม่หมาตัวนี้... พร้อมๆ กับจิตสำนึก ที่เกิดใหม่ ของพี่ชิต ที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน แกรับเลี้ยง ลูกหมานั้นไว้ ทั้ง 5 ตัว และตั้งแต่นั้น แกกลายเป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนก ยิงหมา ยิงแมวอีก แกบอกว่า... "มันอาจจะมี ลูกรออยู่ก็ได้”

วันเกิดของแม่ ปีที่แล้ว แกเอามะลิ ร้อยเป็นพวง ไปให้แม่ ทั้งๆ ที่ ไม่เคยทำมาก่อน พี่ชิตกราบแม่ พร้อมพูดกับแม่ว่า "แม่ครับ... ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผม ยังไงนะ สอนอีกหน ได้ไหมครับ" แม่แกน้ำตาคลอ พูดไม่ออก

_____________________

เค้าชีวิต เหมือนที่คุณมี
เค้ามีหัวใจ เหมือนที่คุณมี
เค้ามีความรัก เหมือนที่คุณมี
ใครซักคนพูดไว้ว่า...
หากคุณลองเลี้ยงสุนัขซักตัวด้วยรัก แล้วคุณจะรู้ว่า "รักแท้" เป็นเช่นไร

โปรดเมตตา T^T

Cr Unigang.com

17
Thailand / นิทานบอกนิสัยคน
« on: April 11, 2014, 01:26:55 PM »
1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆเข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่ที่ สมหวัง ต้องทำ
จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้แล้วก็เลิกคบกัน
2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆหลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆช่วย แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า เพื่อนๆทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่ ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ
สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า
“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรี จำคำพูดของสมปอง
ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆเป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา
เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ
3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย
วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาทุก “ตัว”
วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือ หมา
มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ..

18
Thailand / ขอทานกับร้านซาลาเปา
« on: April 11, 2014, 12:48:06 PM »
เรื่องของขอทานกับร้านซาลาเปา

ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง...กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน วันหนึ่ง มีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี

ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน แต่ขอทานก็รีบอธิบาย " คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา " พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...

ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ จึงออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด...ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี
" เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ "
ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..." ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร "

ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า " ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก "
" ครับ...กรุณารอสักครู่ " แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม

และหันไปถามลูกจ้างว่า..." นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ "
" แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง " ลูกจ้างอธิบาย
" ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ " เถ้าแก่กล่าว
จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...

ภายหลัง...มีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า...เถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี
เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า..." ที่จริงแล้วง่ายมาก เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา แสดงให้เห็นว่า...
>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<

การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง
และ มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น
จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ทำ

Cr pantip.com

19
บทสนทนาระหว่างสามีคนหนึ่ง(ส)
กับนักจิตวิทยา(จ):

จ: คุณทำอาชีพอะไรครับ?
ส: ผมทำงานบัญชี ในธนาคารแห่งหนึ่งครับ
จ: แล้วภรรยาคุณล่ะ?
ส: เธอไม่ได้ทำงานครับ เป็นเพียงแม่บ้าน
จ: ใครเป็นคนทำอาหารเช้าให้คนในครอบครัวครับ?
ส: ภรรยาผม,เพราะว่าเธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ภรรยาคุณตื่นเช้าเวลาไหน เพื่อทำกับข้าว?
ส: ราวๆตี 5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้านก่อนทำกับข้าวครับ
จ: แล้วเด็กๆ ไปรร.กันยังไงครับ?
ส: ภรรยาผมพาไป,เพราะเธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: หลังจากส่งลูกๆไปรร.แล้ว เธอทำอะไรครับ?
ส: เธอก็ไปตลาด แล้วก็กลับบ้านเพื่อทำครัวและรีดผ้า
หมอก็รู้แล้วนี่ ว่า เธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ตอนเย็นหลังจากเลิกงานกลับบ้าน คุณทำอะไรหรือ?
ส: พักผ่อนครับ เพราะผมเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน
จ: แล้วภรรยาคุณทำอะไรล่ะ?
ส: เธอทำครัว เสิร์ฟอาหารให่ลูกๆและผม ล้างจาน ถูบ้าน แล้วก็พาเด็กๆเข้านอน
จากเรื่องข้างบนนี้ คุณคิดว่าใครทำงานมากกว่ากัน???
กิจวัตรประจำวันของภรรยาคุณ เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนดึก นี่หรือที่เรียกว่า ' ไม่ได้ทำงานอะไร ' ??!!
ใช่ การเป็นแม่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาใดๆ หรือมีตำแหน่งสูงๆ แต่บทบาทของพวกเธอ สำคัญมาก!
โปรดชื่นชมภรรยาของคุณ เพราะความเสียสละของเธอนั้น ประมาณค่ามิได้
นี่ควรเป็นข้อเตือนใจและสะท้อนให้เราได้เข้าใจและซาบซึ้งถึงบทบาทของกันและกัน
เกี่ยวกับผู้หญิง....
* เมื่อเธอเงียบ เรื่องต่างๆมากมาย โลดแล่นอยู่ในความคิดของเธอ
* เมื่อเธอจ้องมองคุณ เธอแปลกใจว่า ทำไมเธอถึงรักคุณมาก ทั้งๆที่เป็นฝ่ายถูกมองเหมือนว่าไร้ค่า
* เมื่อเธอพูดว่า ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณ เธอจะอยู่เคียงข้างคุณ ดุจหินผาศิลาแกร่ง
โปรดอย่าทำร้ายจิตใจเธอ
อย่าเข้าใจเธอผิดไป
หรือมองว่าเธอไร้ค่า
โปรดส่งต่อไปถึงผู้หญิงทุกคน เพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับเธอ และส่งไปยังผู้ชายทุกคนเพื่อให้เขาได้ตระหนักถึงคุณค่าของผู้หญิง...!!!
แด่ภรรยาสุดที่รัก และแม่ของเรา
กราบอนุโมทนาบุญยอดกัลยาณมิตรทั่วโลก สาธุ ครับ

20
Thailand / นกแขกเต้า
« on: March 13, 2014, 11:28:16 AM »
เรื่อง นกแขกเต้า


ทุกๆคนมีความสุขเมื่อแสวงหาทรัพย์มาได้ หลายๆคนมีความสุขกับการครอบครอง
หวงแหนทรัพย์นั้นไว้ ในขณะที่อีกหลายๆคนก็มีความสุขกับการใช้จ่ายทรัพย์นั้น
แท้จริงแล้ว เราจะแสวงหาความสุขจากทรัพย์สินได้ด้วยวิธีการใด ทำอย่างไรเราจึง
จะได้รับความอิ่มกายอิ่มใจ จากทรัพย์ของเราให้ได้มากที่สุด

มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งประมาณ ๕๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในป่างิ้วบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เมื่อถึง
เวลาหากิน ฝูงนกแขกเต้าต่างพากันบินไปกินข้าวสาลีในนาของชาวนาแคว้นมคธ
เมื่อกินข้าวสาลีอิ่มแล้ว ต่างก็บินกลับรังด้วยปากเปล่าๆทั้งนั้น ส่วนพญานกแขกเต้า
ที่เป็นหัวหน้า เมื่อกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบข้าวสาลีอีก ๓ รวง กลับไปด้วย
ชาวนาเห็นก็แปลกใจ จึงพยายามดักจับพญานกแขกเต้าให้ได้ ด้วยการสังเกตที่ยืนของ
พญานกนั้น แล้ววางบ่วงดักไว้

วันหนึ่งพญานกถูกจับได้ ชาวนาจึงถามพญานกว่า “นกเอ๋ย ท้องของท่านคงจะใหญ่
กว่าท้องของนกอื่น เพราะเมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบรวงข้าวกลับไปอีกวันละ
๓ รวง เป็นเพราะท่านมียุ่งฉาง หรือเป็นเพราะเรามีเวรต่อกันมาก่อน”

พญานกตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้มียุ่งฉาง และเราก็ไม่มีเวรต่อกัน แต่ที่คาบไป ๓ รวงนั้น
รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า รวงหนึ่งเอาไปให้เขากู้ และอีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้”

ชาวนาได้ฟังก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า
“ท่านเอารวงข้าวไปใช้หนี้ใคร เอาไปให้ใครกู้ และ เอาไปฝังไว้ที่ไหน”

พญานกแขกเต้าจึงตอบว่า “รวงที่หนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า คือเอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะ
ท่านแก่แล้ว และเป็นผู้มีพระคุณอย่างมาก ทั้งให้กำเนิด และเลี้ยงดูข้าพเจ้าจนเติบใหญ่
นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่าน จึงสมควรเอาไปใช้หนี้

รวงที่สองเอาไปให้เขากู้ คือเอาไปให้ลูกน้อยทั้งหลายที่ยังเล็กอยู่ ไม่สามารถหากินเอง
ได้ เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยงเขาในตอนนี้ ต่อไปยามข้าพเจ้าแก่เฒ่า เขาก็จะเลี้ยงตอบแทน
จัดเป็นการให้เขากู้

รวงที่สามเอาไปฝังไว้คือ เอาไปทำบุญด้วยการให้ทานกับนกที่แก่ชรา นกที่พิการหรือ
เจ็บป่วยไม่สามารถหากินได้ เท่ากับเอาไปฝังไว้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
การทำบุญเป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้”

ชาวนาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสว่า นกนี้เป็นนกกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นนกมีความเมตตา
ต่อลูกน้อย และเป็นนกใจบุญ มีปัญญารอบคอบ มองการณ์ไกล

พญานกได้อธิบายต่อไปว่า “ข้าวสาลีที่ข้าพเจ้ากินเข้าไปนั้น ก็เปรียบเหมือนเอาทิ้งลง
ไปในเหวที่ไม่รู้จักเต็ม เพราะข้าพเจ้าต้องมากินทุกวัน วันนี้กินแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องมากินอีก
กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็ม จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะถ้าท้องหิวก็เป็นทุกข์”

ชาวนาฟังแล้วจึงกล่าวว่า “พญานกผู้มีปัญญา ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าท่านเป็นนกที่โลภมาก
เพราะนกตัวอื่นเขาหากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่คาบอะไรไป ส่วนท่านบินมาหากิน
แล้วยังคาบรวงข้าวกลับไปอีก แต่พอฟังท่านแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้คาบไปเพราะความโลภ
แต่คาบไปเพราะความดี คือเอาไปเลี้ยงพ่อแม่ เอาไปเลี้ยงลูกน้อย และเอาไปทำบุญ
ท่านทำดีจริงๆ”

ชาวนามีจิตเลื่อมใสในคุณธรรมของพญานกมาก จึงแก้เครื่องผูกออกจากเท้าพญานก
ปล่อยให้เป็นอิสระ และมอบนาข้าวสาลีให้ พญานกรับนาข้าวไว้เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งกะคะเน
แล้วว่าเพียงพอแก่บริวาร จากนั้นจึงให้โอวาทแก่ชาวนาว่า “ขอให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท
หมั่นสั่งสมกุศลด้วยการทำทาน และเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าด้วยเถิด”

ชาวนาได้คติจากข้อปฏิบัติของพญานก จึงตั้งใจทำบุญกุศลตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต

นกแขกเต้าผู้มีปัญญา รู้ว่าควรบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม นับเป็นการใช้ทรัพย์อย่างชาญฉลาด ที่ยิ่งใช้
ก็ยิ่งมีความสุขความเจริญ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ สุขทั้งปัจจุบัน และ อนาคต

เราทุกคนเมื่อรู้จักเก็บ รู้จักหาทรัพย์แล้ว ก็ควรจะรู้จักความสุขจากการใช้ทรัพย์อย่าง
ถูกต้องด้วย เพราะการแสวงหา หรือครอบครองทรัพย์สินที่มี ไม่อาจสร้างความสุขใจ
ไม่อาจทำให้เกิดกุศลได้ เทียบเท่ากับการใช้ทรัพย์นั้นให้เกิดคุณค่าอย่างแท้จริงต่อชีวิต

 

เครดิต : http://narathipo.exteen.com/20110917/entry-2

21
Thailand / ตะปู
« on: March 13, 2014, 11:21:55 AM »
ความโกรธกับรอยตะปูบนรั้ว

มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุง และบอกกับเขาว่า
”ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัว
เข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน”
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง
น้อยลง น้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ
ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่
เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า ”ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ
ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัวทุกครั้ง”
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว จาก 1 เป็น 2 …. จาก 2 เป็น 3
จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า
“ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!” พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน
และบอกกับลูกว่า “ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่า
รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไป
โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า “ขอโทษ” สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับ
เขาคนนั้นได้
ฉันใดก็ฉันนั้น “กับเพื่อน” .. เพื่อนเปรียบเสมือน อัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม
เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ … แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน
และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า ” คำขอโทษ “
ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ …… ตลอดไป”


เครดิต : kanyarat102

22
Thailand / หลายปีนี้...
« on: March 12, 2014, 11:52:22 AM »
หลายปีนี้.....< ชีวิตสอนเราว่า >

1. หลายปีนี้ เริ่มรู้สึกหวาดหวั่น เมื่ออายุมากขึ้น ญาติสนิทมิตรสหายเริ่มทยอยจากเราไป รู้สึกถึงชีวิตล้วนอนิจจัง

2. หลายปีนี้เริ่มรู้สึกปล่อยวาง เริ่มเรียนรู้ถึงสิ่งที่ไม่ว่าจะเสียดายหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่จะต้องเป็นไปโดยวิถีแห่งธรรมชาติ

3. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า การตั้งตนอยู่ในความระแวดระวังผู้อื่นจะขาดเสียไม่ได้ และการที่จะคิดร้ายกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด

4. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า ความสนิทชิดเชื้อระหว่างมนุษย์นอกเหนือจากความเกี่ยวพันทางสายเลือดแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือสัมพันธภาพทางจิตใจที่จริงใจต่อกัน

5. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า สิ่งที่เคยใฝ่ฝันอยากได้ในอดีต แม้วันนี้จะได้มา ก็หาใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเราอีกต่อไป

6. หลายปีนี้ เริ่มตื่นรู้ นอกจากเราต้องทำดีกับผู้อื่นแล้ว เราจะต้องทำสิ่งที่ดีงามให้กับคนที่ดีกับเราให้มากเท่าทวีคูณ

7. หลายปีนี้ เริ่มเรียนรู้ว่า เวลาหาได้บ่มเพาะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน ตรงกันข้าม เวลากลับพิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของผู้คน

8. หลายปีนี้ เริ่มรู้ซึ้ง นอกจากพ่อแม่แล้ว ไม่มีใครในโลกที่จะคอยอนุเคราะห์ โอบอุ้มและให้อภัยเราเหมือนเช่นที่ท่านให้กับเรา

9. หลายปีนี้ เริ่มหวาดหวั่นถึงความประมาท ที่อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและความทุกข์ทรมานต่อร่างกายอย่างไม่คาดฝัน

10. หลายปีนี้ เราเปลี่ยนไป สามารถอดทนแบกรับความทุกข์ในหลากหลายรูปแบบ มีความแกร่งในชีวิต เหมือนต้นกระบองเพชร ที่สามารถจะอยู่รอดได้ในทุกสถานะ

11. หลายปีนี้ เริ่มสำนึก ไม่ดึงดันถือมั่นอย่างที่เคย หลายสิ่งที่เคยยึดมั่นเริ่มคลายความถือมั่นอย่างที่เคยเป็น

12. หลายปีนี้ หลายสิ่งที่ขัดหูขัดตา ก็สามารถที่จะทำใจให้เป็นเหมือน “ฟังแต่ไม่ได้ยิน มองแต่ไม่ได้เห็น“

13. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า ไม่ใช่คนทุกคนจะยินยอมเดินตามวิถีทางที่เราอยากให้เป็น

14. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า สิ่งที่เป็นของเรา ย่อมต้องเป็นของเรา สิ่งที่ไม่ใช่ของเรา จงอย่าได้ฝืนเอา

15. หลายปีนี้ ชีวิตสอนว่า อย่าได้อิจฉาชีวิตของผู้อื่น เพราะเราเองก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการให้เป็น

เวลาดุจสายน้ำ ไหลไปไม่หวนกลับ เรียนรู้กับชีวิต รู้ซึ้งถึงชีวิต

หวงแหนทุกวันเวลาที่ผ่านไป ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เรียนรู้ชีวิตอย่างสงบ ต่อไป .......................


เครดิต : เฟสบุ๊ค

23
Thailand / แรงงงงงงงงง
« on: March 08, 2014, 02:23:42 PM »
เอาเรื่องแซบเว่อร์ ของสามี ภรรยาคู่นึงมาฝาก อ่านให้จบนะคะ

ตอนเช้า !!! ภรรยา เจอกระดาษแผ่นนึง แปะไว้ที่ตู้เย็น มีใจความว่า...

ถึงภรรยา ที่รัก...ของผม
คงเข้าใจนะว่า...เธออายุ 45 ปี เป็นภรรยาที่ดีมากด้วย เพียงแต่เรื่องเซ็กส์ระหว่างเราหมดความ "เร้าใจ" ไปแล้ว
ขณะที่เธออ่านจดหมายนี้ หวังว่าเธอคงจะยอมรับความจริงได้ คือ...
เย็นนี้ ฉันจะไปหาความสุขกับ "เลขาฯ" อายุ 22 ที่โรงแรม
อย่าโกรธฉันนะจ๊ะ ผมจะกลับถึงบ้านเที่ยงคืน...

คืนนั้น...เมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน ก็ได้พบจดหมายของภรรยาวางอยู่บนโต๊ะอาหาร มีใจความว่า...

ถึงสามี ที่รัก...ของฉัน
ได้รับจดหมายแล้ว... ขอบคุณในความซื่อสัตย์ของคุณ ที่บอกกล่าวแก่ฉันว่าจะไปไหนมาไหน
ฉันเลยถือโอกาสนี้ เตือนความทรงจำคุณเหมือนกันว่า...คุณก็อายุ 45 แล้ว...เหมือนกัน คุณก็รู้ ฉันเป็นครูคณิตศาสตร์
ในขณะที่คุณอ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันอยู่ที่ โรงแรมกับลูกศิษย์คนหนึ่ง เป็นเทรนเนอร์ในโรงยิมฯ ด้วย เขายังหนุ่มแน่น เป็นแมนเต็มตัว เช่นเดียวกับเลขาฯ ของคุณ
คุณเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี คงเข้าใจว่า...
เราอยู่ในสภาพเดียวกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่...
>>> ผู้ชายอายุ 22 สามารถให้...ความสุขกับผู้หญิงอายุ 45 ได้ "ห ล า ย ค รั้ ง" กว่า...ผู้ชายอายุ 45 ที่จะมีให้กับ ผู้หญิงอายุ 22 <<<

ฉะนั้น...ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ ที่รัก ฉันจะกลับบ้าน " พรุ่งนี้ " แต่เวลาไหนก็ยังไม่แน่ใจ

Cr. Strawberry Story

24
Thailand / เรื่องมีอยู่ว่า.........
« on: March 07, 2014, 05:21:12 PM »
เรื่องมีอยู่ว่า....

กลางดึกคืนนึง สามีผู้เมามายกลับถึงบ้าน เขาทั้งตะโกน อาเจียน ทำลายข้าวของต่างๆ ในบ้านจนพัง ภรรยาผู้แสนดีเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยดูแลและเก็บกวาดข้าวของจนเรียบร้อย

เช้าวันต่อมา สามีตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเพราะเขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรลงไปบ้าง เขาได้แต่หวังให้ภรรยาไม่โกรธเขามากนักและเตรียมตัวฟังคำบ่น แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเขาเห็นโน๊ตที่ภรรยาเขียนทิ้งไว้ว่า "ที่รักคะ ฉันเตรียมอาหารเช้าสุดโปรดของคุณไว้ให้บนโต๊ะอาหารแล้วนะคะ เช้านี้ฉันต้องรีบออกไปตลาดแต่จะรีบกลับมาให้ไวที่สุดค่ะ ฉันรักคุณนะคะ"

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าช่างขัดกับสิ่งที่เขาควรจะได้รับจากวีรกรรมที่เขาก่อไว้เมื่อคืนเหลือเกิน เขาจึงรีบเรียกตัวลูกชายมาถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรกันแน่ ลูกชายตอบว่า "ก็ไม่มีอะไรนี้พ่อก็แค่ ตอนที่แม่พาพ่อไปนอนบนเตียง และพยายามจะถอดร้องเท้าและเสื้อของพ่อออก พ่อพยายามจะขัดขืน และพ่อก็พูดว่า "เฮ้ สาวน้อย อย่ามาแตะต้องตัวผมน่ะ มีแต่ภรรยาผมเท่านั้นที่จะทำแบบนี้กับผมได้! "


เครดิต : เฟส Paktor

25
Thailand / ผู้นำคนใหม่
« on: February 26, 2014, 11:27:49 AM »
ระวี และ วิกรม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อทั้งสองอายุได้ 5 ปี ผู้นำหมู่บ้านก็นำเงินที่รวบรวมได้จากชาวบ้าน มอบให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง เพื่อเป็นทุนในการเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ต่อยังเมืองหลวง
       
       “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าทั้งสองเหมาะที่จะได้รับทุนนี้มากที่สุด จงไปค้นหาสำนักอาจารย์ชั้นยอดในเมืองหลวง แล้วศึกษาวิชาความรู้เหล่านั้นอย่างพากเพียร กระทั่งในปีที่พวกเจ้ามีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ขอให้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเรา เพื่อให้ชาวบ้านเลือกว่า ใครสมควรที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน เพื่อดูแลพวกเขาต่อจากข้า”
       
       ระวี และ วิกรม ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ เขาสัญญาแก่ผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านทุกคน ว่า จะเข้าเรียนในสำนักอาจารย์ที่ดีที่สุด เพื่อนำความรู้นั้นมาพัฒนาหมู่บ้านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
       
       เมื่อไปถึงเมืองหลวง ระวี และ วิกรม ได้เลือกเรียนในสำนักของอาจารย์ที่แตกต่างกัน ระวี เห็นว่า หมู่บ้านคงไม่มีความสุขหากผู้นำไร้คุณธรรมในการปกครอง ดังนั้น ระวี จึงเลือกเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการสอนเรื่องคุณธรรมและปรัชญาแห่งความเป็นมนุษย์มากกว่าความเก่งกาจทางด้านวิชาการ ส่วน วิกรม นั้น มีความคิดเห็นต่างไปจากระวีโดยสิ้นเชิง วิกรมคิดว่า ตัวเขาต้องมุ่งศึกษาศาสตร์ความรู้ต่างๆ ให้มาก จะได้รู้มากกว่า เก่งกว่า และอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำ ดังนั้น วิกรม จึงเข้าศึกษาในสำนักของอาจารย์ที่เน้นการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความหลากหลายนับร้อยนับพันสาขา ยกเว้นด้านคุณธรรมที่เห็นจะไม่มีความสำคัญเลยในสำนักแห่งนี้
       
       ระวี และ วิกรม ขยันศึกษาในสำนักของตนอย่างพากเพียร ต่างพักอยู่ในสำนักของอาจารย์ที่ตนศึกษา และแทบจะไม่ได้เจอหน้ากัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วิกรม เข้าไปเก็บตัวอย่างพืชพรรณไม้ป่าตามคำสั่งของอาจารย์ เพื่อนำกลับไปศึกษาในสำนัก ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังตัว หนามอันแหลมคมของมันก็ขูดเข้ากับท้องแขนของเขาเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา วิกรม โกรธต้นไม้ต้นนี้มาก จนรู้สึกเดือดพล่าน เขากล่าวสาปแช่งต่างๆ นานาแก่ต้นไม้เป็นการใหญ่
       
       ตอนนั้นเองที่ระวีเดินผ่านมาเห็นพอดี เขารีบเข้าไปห้ามเพื่อน และเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระวีก็พูดว่า
       
       “อย่าทำเช่นนั้นเลยเพื่อนเอ๋ย ต้นไม้มิได้ผิดอะไร เขาอยู่ของเขาดีๆ เพื่อนต่างหากที่ไปรุกรานทำร้ายเขา จงกล่าวขอโทษ และแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เถิด”
       
       วิกรม ได้ฟังดังนั้นก็พาลโกรธระวีไปอีกคน เขาว่ากล่าวระวีในเรื่องที่เลือกสำนักอาจารย์ในการศึกษาไม่เป็น ทำให้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านที่สู้อุตส่าห์แบ่งปันมาให้ต้องสูญเปล่า
       
       “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพื่อน เพราะตัวข้านั้นหมั่นศึกษาคุณธรรมอยู่เป็นนิจ ข้าสำนึกในคุณค่าและบุญคุณของชาวบ้านเสมอ” ระวี แก้ความเข้าใจผิดของเพื่อน
       
       “มีคุณธรรมแต่ขาดความรู้จะทำอะไรได้ หากเจ้าไปบอกใครๆ ว่า ตัวเจ้ามีคุณธรรม เขาจะชื่นชมเจ้าเท่ากับที่เจ้าแสดงภูมิความรู้ให้เป็นที่ปรากฏหรือ...ดูอย่างข้านี่สิ ข้ารู้จักพืชพรรณในป่านี้ทุกชนิด เพราะข้าขยันท่องชื่อของพวกมันทั้งวันทั้งคืน จนแม้แต่อาจารย์ก็ยังชื่นชมไม่ขาดปากว่าข้านั้นมีความจำเป็นเลิศส่วนเจ้าเล่า...รู้อะไรอย่างที่ข้ารู้บ้าง” วิกรม กล่าวโอ้อวด
       
       “ถูกแล้วเพื่อนเอ๋ย ข้านั้นไม่รู้อะไรมากเท่าที่เจ้ารู้หรอก ข้าไม่รู้ว่าพืชพรรณเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาในที่นี้ทุกต้นล้วนมีชีวิตมีความรู้สึก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกล่าวคำชั่วร้ายแก่ต้นไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เศร้าใจมาก” ระวี กล่าว
       
       “ไร้สาระ! สิ่งที่เจ้าพูดล้วนจับต้องไม่ได้ และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย” วิกรม พูดกระแทกเสียงดัง แล้วเดินจากไปอย่างขัดเคืองใจ
       
       ส่วน ระวี นั้น เห็นใจต้นไม้ เขาจึงนั่งแผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้เป็นเวลานาน
       
       เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ระวี และ วิกรม มีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 25 ทั้งสองจึงกล่าวลาอาจารย์ของตน แล้วเดินทางกลับหมู่บ้าน ซึ่งมีชาวบ้านมารอให้การต้อนรับอยู่แล้ว
       
       วิกรม นั้น เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พูดจาโอ้อวดแสดงภูมิความรู้ต่างๆ ของตนแก่ชาวบ้านทันที ผิดกับ ระวี ที่พูดน้อย และกล่าวแต่คำไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของชาวบ้านอย่างมีอัธยาศัยไมตรี
       
       ผู้นำหมู่บ้าน กล่าวว่า “ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ข้าจะจัดให้มีการเลือกผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ ดังนั้นช่วงนี้ขอให้พวกเจ้าตัดสินใจให้ดีว่า ระหว่าง ระวี กับ วิกรม พวกเจ้าอยากให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำหมู่บ้านเราต่อจากข้า”
       
       แรกๆ นั้น พวกชาวบ้านออกจะมีใจนิยมชมชอบในตัวของวิกรม มากกว่า ระวี เนื่องจากดูทรงภูมิ และมีความรู้ต่างๆ มาก เวลาวิกรมพูดอะไรแต่ละครั้งเขาจะใช้คำพูดยากๆ ที่ชาวบ้านฟังแล้วไม่เข้าใจ เพราะรู้สึกว่าพูดไปแล้วจะทำให้ตนเองดูมีความรู้และฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อมีชาวบ้านคนใดเอ่ยถามเพื่อความเข้าใจ วิกรม ก็หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างอวดภูมิ และตบท้ายด้วยคำพูดแบบยกตนข่มท่าน เสมือนว่า คนที่มาถามนั้นเป็นคนโง่ เพราะแม้แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระยะหลังๆ จึงไม่มีใครกล้าถาม หรือพูดอะไรกับวิกรมอีก เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโง่
       
       ฝ่ายระวีนั้น ไม่เคยแสดงภูมิใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ จนแรกๆ ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า ระวีนั้นไร้ความโดดเด่นจนไม่มีอะไรให้พูดถึงตัวเอง แต่เมื่อได้ลองพูดคุยทักทายกันบ้างตามประสาชาวบ้าน ก็พบว่าพวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่ระวีพูดได้ง่ายกว่าคำพูดของวิกรม เพราะระวีสนทนากับชาวบ้านด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้สื่อสารเข้าใจได้ตรงกัน และนอกไปจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ระวีพูดนั้น แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมอยู่ในที ชาวบ้านจึงเริ่มมองระวีในแง่ใหม่ และเข้ามาพูดคุยกับเขามากขึ้น
       
       3 เดือนผ่านไป ถึงเวลาที่ชาวบ้านต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงมอบก้อนหินสีขาวให้ชาวบ้านคนละ 1 ก้อน แล้วให้เข้าไปหยอดในกล่องที่อยู่หลังฉากกั้นทีละคนๆ โดยให้เลือกหยอดลงในกล่องใบใดใบหนึ่ง ระหว่างกล่องของวิกรมกับกล่องของระวี
       
       วิกรม มองชาวบ้านเดินเข้าหลังฉากกั้นไปลงคะแนนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาแน่ใจว่า ด้วยความฉลาดทั้งหมดที่ได้แสดงออกสู่สายตาชาวบ้าน จะทำให้ตนเองได้รับเลือกเป็นผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ระวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา และยืนรอผลการเลือกตั้งด้วยท่าทีสงบนิ่ง
       
       “ผลออกมาแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านประกาศหลังนับคะแนนเสร็จ “ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากข้าคือ...ระวี”
       
       สิ้นคำประกาศของผู้นำหมู่บ้านคนปัจจุบัน เสียงไชโยโห่ร้องจากชาวบ้านก็ดังกระหึ่มขึ้นด้วยความยินดีทันที ส่วนวิกรมนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก และคิดว่าตนเองน่าจะฟังผิดไป
       
       “เดี๋ยวก่อนสิ ท่านผู้นำหมู่บ้าน! ท่านประกาศผลผิดไปนะ” วิกรม รีบทักท้วง
       
       “ไม่ผิดหรอก กล่องของระวีอัดแน่นไปด้วยก้อนหินสีขาว ส่วนของเจ้าไม่มีก้อนหินเลยสักก้อนเดียว” ผู้นำหมู่บ้านบอก
       
       “ว่าอย่างไรนะ! เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้มีความรู้มากนะทุกคนต้องเลือกข้าเป็นผู้นำสิ” วิกรม พูดอย่างเดือดดาล ด้วยความรู้สึกเสียหน้าและผิดหวังอย่างรุนแรง
       
       “ผิดแล้ววิกรม” ผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างนุ่มนวล “ตามวิสัยของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำคนหมู่มากนั้น เขาจะต้องแสดงคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพูด คนที่มีคุณค่าต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และมองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอ เพราะคำพูดนั้นสำคัญมาก เมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เรียกคืนมาอีกไม่ได้ หากพูดไม่ดีคำพูดนั้นก็จะไปประทับอยู่ในจิตใจและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นไปนานแสนนาน ดังนั้น ผู้นำจะต้องเป็นคนที่พูดเป็น คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดี และเต็มไปด้วยความรักความเมตตาในจิตใจ จึงจะทำให้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเกิดความสุขได้อย่างแท้จริง”
       
       วิกรมได้ฟังหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวดังนั้น ก็เริ่มคิดได้ และเมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาของตนเอง เขาก็รู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้อื่นเสมอมา ผิดกับผู้นำหมู่บ้าน ระวีต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ทุกประการ
       
       ดังนั้น วิกรม จึงหันไปแสดงความยินดีกับระวีด้วยใจจริง และมุ่งมั่นว่า จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีมีคุณค่า และช่วยเหลือระวีในการพัฒนาหมู่บ้านด้วยความจริงใจตลอดไป


เครดิต : นิทานสีขาว

Pages: [1] 2